'โรคเบาหวาน' เกิดขึ้น เพราะร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลมาใช้เป็นพลังงานได้ เนื่องจากความผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเผาผลาญสารอาหารเช่น ไขมัน และโปรตีนนอกจากนี้โรคเบาหวานยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายและมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้ ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ ได้แก่
โรคหลอดเลือดแดงตีบแข็ง (Atherosclerosis) ทั้งหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง
โรคไตจากเบาหวาน
ระบบประสาทส่วนปลายเสื่อม มีอาการปวดเจ็บ ปวดแสบปวดร้อน ชาตามปลายมือปลายเท้า สูญเสียความสามารถในการรับความรู้สึก
โรคแทรกซ้อนทางตา เช่น โรคต้อกระจก, จอตาเสื่อม
ภูมิต้านทานร่างกายลดลง จึงเกิดการติดเชื้อได้ง่าย
การป้องกันภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยโรคเบาหวาน ด้วย แอลฟ่า ไลโปอิก แอซิด
การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ถือเป็นสิ่งสำคัญมากในการดูแลเมื่อเป็นโรคเบาหวาน แต่อาการแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวานนั้นเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญเช่นกัน โดยจากการศึกษาพบว่าแม้ผู้ป่วยเบาหวานจะพยายามควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติดีแล้ว แต่มากกว่า 20% ของผู้ป่วยก็ยังเกิดภาวะแทรกซ้อนอยู่เหมือนเดิม ซึ่งระยะแรกเริ่มอาจพบปลายประสาทเสื่อม ปวดเจ็บ ชาตามปลายมือปลายเท้า ระยะต่อไปจะทำให้ระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของหัวใจ ไต การย่อยอาหารผิดปกติ โดยพบว่าผู้ป่วยเบาหวานจะเกิดอนุมูลอิสระในร่างกายปริมาณมาก ทำให้เกิดการเสื่อมของอวัยวะต่างๆ เร็วขึ้น การป้องกันไม่ให้อนุมูลอิสระทำลายเซลล์ต่อไปจึงมีความสำคัญที่จะช่วยป้องกัน หรือลดภาวะอาการแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานได้ วิธีหนึ่งที่น่าสนใจ คือการใช้สารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะ แอลฟา ไลโปอิค แอซิด ที่มีการศึกษาพบว่าช่วยลดภาวะอาการแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานได้เป็นอย่างดี
คุณสมบัติ ของการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ของ แอลฟาไลโปอิค แอซิด
'แอลฟา ไลโปอิค แอซิด' หรือ 'กรดไลโปอิค' เป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า 'กรดไธออคติค' ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติเหมือนกับวิตามิน และนับเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ(แอนตี้ออกซิแดนท์) ที่ถือว่าเป็น สารต้านอนุมูลอิสระ ครอบจักรวาล (Universal antioxidant) เนื่องด้วยคุณสมบัติพิเศษที่สามารถละลายได้ทั้งในน้ำ และในไขมัน ที่สามารถปกป้องเซลล์ต่างๆในร่างกายจากอนุมูลอิสระได้ดี นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการทำให้สารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ ทั้งวิตามิน อี วิตามิน ซี โคเอนไซม์คิวเทน กลับอยู่ในสภาวะเดิมหลังจากกำจัดอนุมูลอิสระแล้ว เพื่อให้มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระได้ต่อไปอีก (regeneration)
คุณสมบัติเสริมการออกฤทธิ์ของอินซูลิน
'แอลฟา ไลโปอิค แอซิด' ช่วยเสริมการออกฤทธิ์ของอินซูลินในการนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ต่างๆ และเผาผลาญน้ำตาลเป็นพลังงาน ดีขึ้น จึงช่วยให้การควบคุมระดับน้ำตาลเป็นไปได้ดีขึ้น
ด้วยคุณสมบัติดังกล่าว ทำให้ในประเทศเยอรมัน ได้รับอนุญาตให้เป็นยารักษาสำหรับภาวะปลายประสาทเสื่อมและโรคแทรกซ้อนทั่วไปที่จะมากับโรคเบาหวาน โดยจะช่วยลดภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะปลายประสาทเสื่อม ลดอาการปวดเจ็บ ปวดแสบปวดร้อน ชาตามปลายมือปลายเท้า (diabetic peripheral neuropathy) ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ปัจจุบัน ได้มีการแนะนำให้รับประทานแอลฟา ไลโปอิด แอซิด เสริมสำหรับ
ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
ผู้ที่เป็นโรคต้อกระจก
ผู้ที่ต้องการสารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อชะลอความเสื่อมของเซลล์และป้องกันการแก่ก่อนวัย
ผู้ที่ต้องการใช้เสริมร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ เช่น วิตามิน อี วิตามิน ซี โคเอนไซม์คิวเทน
แหล่งอาหารที่พบ แอลฟา ไลโปอิด แอซิด ส่วนใหญ่พบได้จากเนื้อสัตว์ หัวใจ ไต ผักโขม มันฝรั่ง ฯลฯ การได้รับจากอาหารเสริมเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย
ขนาดรับประทานที่เหมาะสม
ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ยังไม่มีภาวะแทรกซ้อน รับประทานครั้งละ 300 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง พร้อมอาหาร
ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน และมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ปวดเจ็บ ปวดแสบปวดร้อน ชาตามปลายมือ ปลายเท้า รับประทานครั้งละ 600 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง พร้อมอาหาร
ผู้ที่ต้องการเสริมเพื่อป้องกันโรคจากความเสื่อมต่าง ๆ ของร่างกาย รับประทานครั้งละ 50 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง พร้อมอาหาร
ตัวอย่างผลการศึกษาประโยชน์ของแอลฟา ไลโปอิค แอซิด
Ziegler et al, 2006 ศึกษาผลการใช้ แอลฟา ไลโปอิค แอซิด ในผู้ป่วยเบาหวาน 181 คน โดยรับประทานครั้งละ 600 มก. วันละ 1 ครั้ง เป็นเวลานาน 5 สัปดาห์ พบว่าจะช่วยลดอาการเสื่อมของปลายประสาท ได้แก่ อาการปวด ปวดแสบ ปวดร้อน และอาการชาในผู้ป่วยเบาหวานได้ อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับยาหลอก
JR Hahm et al, 2004 ศึกษาผลการใช้ แอลฟา ไลโปอิค แอซิด ในผู้ป่วยเบาหวาน 61 คน โดยรับประทานครั้งละ 600 มก. วันละ 1 ครั้ง เป็นเวลานาน 8 สัปดาห์ ประเมินผลที่ 4และ8 สัปดาห์ ตามลำดับ พบว่าที่ 4 สัปดาห์ จะช่วยลดอาการเสื่อมของปลายประสาท ได้แก่ อาการปวด ปวดแสบ ปวดร้อน และอาการชาในผู้ป่วยเบาหวานได้ อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับยาหลอก และที่ 8 สัปดาห์อาการต่างๆ จะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
Ruhnau KJ et al, 1999 ศึกษาผลการใช้ แอลฟา ไลโปอิค แอซิด ในผู้ป่วยเบาหวาน 12 คน โดยรับประทานครั้งละ 600 มก. วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลานาน 3 สัปดาห์ พบว่าจะช่วยลดอาการเสื่อมของปลายประสาท ได้แก่ อาการปวด ปวดแสบ ปวดร้อน และอาการชาในผู้ป่วยเบาหวานได้ อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับยาหลอก
Ziegler et al, 1995 ศึกษาผลการใช้ แอลฟา ไลโปอิค แอซิด ในผู้ป่วยเบาหวาน 328 คน โดยฉีด IV วันละ 100 มก., 600 มก., 1,200 มก. และยาหลอกเป็นเวลา 3 สัปดาห์ พบว่าผู้ที่ได้รับขนาด 600 มก.มีอาการปวด อาการชาดีขึ้นมากที่สุดคือ 82.5% เมื่อเทียบกับขนาดอื่นๆ