1675 จำนวนผู้เข้าชม |
เพราะการทำงานต่าง ๆ ของร่างกาย ล้วนเกิดจาก สมอง สมองจึงเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดของร่างกาย ที่จะเป็นตัวบ่งชี้ถึงคุณภาพและความฉลาดของแต่ละคน จากการศึกษาทางการแพทย์พบว่า 40% ของกรดไขมันในสมอง และ 60% ของกรดไขมันในประสาทตา คือ DHA ทำให้กรดไขมัน DHA มีบทบาทที่สำคัญและจำเป็นต่อการพัฒนาสมองและสายตา
DHA (Docosahexaenoic Acid : DHA) คือ กรดไขมันจำเป็นในกลุ่ม Omega-3 ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ต้องได้จากการทานอาหารจำพวกปลาทะเลน้ำลึกในเขตหนาว เช่น ปลาทูน่า
DHA มีความสำคัญต่อพัฒนาการของสมองและสายตา ตั้งแต่ทารกในครรภ์ไปจนถึงวัยสูงอายุ แต่ปัจจุบันกลับพบว่าอาหารที่คนส่วนใหญ่บริโภคนั้นมีปริมาณ DHA น้อยลง จนทำให้เกิดปัญหาของสมองและสายตาในวัยต่าง ๆ
การมองเห็นของทารกลดลง และอาจก่อให้เกิดโรคตาบอดกลางคืนได้
ระดับ ไอคิว ลดต่ำลง
เด็กมีปัญหาเป็นโรคสมาธิสั้น และขาดการยับยั้งชั่งใจ
มีปัญหาการเรียนรู้ช้า ทั้งการเขียนและการอ่าน
มีอาการซึมเศร้า
เครียด และก้าวร้าว
โรคอัลไซเมอร์ และโรคสมองเสื่อม
ความสามารถของสติปัญญาลดลงในวัยสูงอายุ
จอประสาทตาฝ่อตัวอักเสบ
ในช่วงตั้งครรภ์ ทารกจะได้รับ DHA ผ่านทางรก DHA จะช่วยเพิ่มน้ำหนักตัวและลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนด และเมื่อถึงระยะที่สมองเจริญเติบโตสูงสุดในช่วงชีวิต คือ 3 เดือนก่อนและหลังคลอด ทารกจะมีความต้องการ DHA ในปริมาณสูง เพื่อนำไปใช้ในการสร้างและพัฒนาสมอง ระบบประสาท และสายตา จนถึงอายุ 3 ปี จึงถือว่าเป็นโอกาสทองของคุณพ่อคุณแม่ทุกคน ที่จะมอบสารอาหารที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งต่อลูกน้อย เพื่อเตรียมความพร้อมของลูกน้อย ในการเรียนรู้สิ่งต่างๆในอนาคตด้วยเหตุนี้หญิงตั้งครรภ์ระหว่าง 25-35 สัปดาห์ และสตรีที่ให้นมบุตร ควรได้รับ DHA ในปริมาณ 300 มิลลิกรัมต่อวัน
*** ผลทดสอบทางการแพทย์ในผู้หญิงตั้งครรภ์ตั้งแต่ 5 เดือนขึ้นไปจนถึงช่วงให้นมบุตรซึ่งได้รับ DHA ในปริมาณที่เพียงพอ เมื่อนำเด็กกลุ่มนี้มาทดสอบสติปัญญาทางด้านต่างๆ เมื่ออายุครบ 4 ปี พบว่ามีพัฒนาการทางสมองดีกว่าเด็กที่คุณแม่ไม่ได้รับ DHA ในช่วงตั้งครรภ์และให้นมบุตร
เด็กต้องใช้สมองและสายตามากเป็นพิเศษ เพื่อการเรียนรู้ด้านภาษา ฝึกทักษะความคิดต่างๆ เด็กในวัยนี้จึงควรได้รับ DHA ในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยบรรเทาความเครียดจากการเรียน
ด้วยเหตุนี้นักเรียนในประเทศญี่ปุ่นที่มีการแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยสูง นิยมรับประทาน DHA ก่อนสอบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความจำและเสริมสมาธิ มากกว่านั้นระดับ DHA ในสมองที่สมดุลยังช่วยป้องกันเด็กให้ห่างไกลจากการเป็น 'โรคสมาธิสั้น' ซึ่งจะทำให้เด็กไม่สามารถควบคุมสมาธิและการเคลื่อนไหวของตนเองจนทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น ผลการเรียนตกต่ำ ถึงแม้ระดับสติปัญญาจะปกติ แต่จะพบปัญหาด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่น และเพิ่มโอกาสการเกิดสภาพจิต อื่นๆ ตามมาในอนาคต
เนื่องจากระบบการทำงานของร่างกายเด็กในการเปลี่ยนสาร Alpha –linoleic acid ที่เป็นสารตั้งต้น ไปเป็น DHA ได้เพียง 0.2% ของปริมาณที่ได้รับทั้งหมด จึงทำให้พบว่า 40% ของเด็กที่เกิดโรคสมาธิสั้น จะมีปัญหาของการมีระดับ DHA ในเลือดต่ำ ดังนั้นเด็กวัย 1-12 ปี ควรได้รับปริมาณ DHA อย่างเพียงพอประมาณ 20 มิลลิกรัม ต่อ น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีความสงสัยว่าลูกน้อยมีพัฒนาการที่สมวัยหรือไม่ สามารถพิจารณาได้จากตารางแสดงพัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็กในช่วงวัย 1 – 3 ขวบ
วัยนี้มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิด โรคซึมเศร้า (Depression) ที่มีอาการหงุดหงิด ไม่สบายใจ และนอนไม่หลับ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความเครียดมากขึ้น สาเหตุหนึ่งเกิดจากสภาวะความกดดันจากการทำงานหรือปัญหาในครอบครัว และอาจเกิดจากการที่ร่างกายมีระดับ DHA ในสมองต่ำกว่าปกติ
การได้รับ DHA อย่างเพียงพอในปริมาณ 300 มิลลิกรัมต่อวัน จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะไม่เพียงแต่ป้องกันโรคซึมเศร้า ยังสามารถช่วยคืนความสดชื่นให้กับสมองที่เครียดและอ่อนล้าจากการใช้ความคิด วิเคราะห์และแก้ปัญหาการทำงานในแต่ละวัน
โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมสลายของเซลล์สมอง ซึ่งมักเกิดกับผู้สูงอายุ ทำให้เกิดอาการหลงลืม เช่น ลืมชื่อคน ลืมของ ชอบพูดซ้ำๆ บางท่านอาจมีอารมณ์หงุดหงิด จนก้าวร้าวหรือท้อแท้ในชีวิต ซึ่งจากผลการวิจัยในผู้สูงอายุกว่า 1,000 คน เป็นเวลา 10 ปี พบว่าสภาวะดังกล่าวมีสาเหตุจากการที่มีระดับ DHA ในสมองลดต่ำลง ดังนั้นเพื่อป้องกันการเสื่อมของเซลล์สมองในผู้สูงอายุ จึงควรได้รับ DHA อย่างเพียงพอในปริมาณ 500 – 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
ผลิตภัณฑ์ DHA ควรเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการรับรองมาตรฐานการผลิต การตรวจวิเคราะห์ว่าปราศจากสารปนเปื้อน เช่น ปรอท ตะกั่ว สารหนู และเชื้อโรคต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดโรค เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของทารก เด็ก หญิงตั้งครรภ์ สตรีที่ให้นมบุตร และบุคคลทั่วไป
สกัดจากปลาทะเลน้ำลึกเขตหนาวจากไอซ์แลนด์ที่อุดมไปด้วยกรด Omega-3 โดยเฉพาะ DHA ในปริมาณสูง
เป็น Tuna Oil ประกอบด้วย DHA : EPA สัดส่วน 25:7 เพื่อเน้นคุณประโยชน์ของ DHA ในการช่วยเสริมพัฒนาการของสมองและสายตา
ผลิตภายใต้มาตรฐานยา ระดับสากล ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก GMP ของไทย, BfArm ของเยอรมัน และ TGA ของออสเตรเลีย ทำให้มั่นใจในคุณภาพของ DHA ว่าได้ผ่านการคัดสรรและขั้นตอนการผลิตที่ได้มาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยแก่ผู้บริโภคในระยะยาว
เด็กน้ำหนักตัว 3-5 กก. รับประทาน 1-2 แคปซูล /วัน
สตรีมีครรภ์ (อายุครรภ์ตั้งแต่ 25-35 สัปดาห์) รับประทาน 1-2 แคปซูล /วัน
สตรีให้นมบุตร รับประทาน 1-2 แคปซูล / วัน
สำหรับวัยทำงาน รับประทาน 1-2 แคปซูล / วัน
สำหรับผู้สูงวัย รับประทาน 4-6 แคปซูล / วัน