ใบหน้า คือสิ่งแรกที่ช่วยสร้างความประทับใจให้กับผู้พบเห็น หากมีสุขภาพผิวหน้าที่ดี ไร้ริ้วรอย และจุดด่างดำ ก็จะช่วยให้ใบหน้าแลดูเด็กลง สร้างความมั่นใจ และเสริมบุคลิกภาพได้ จนอาจเรียกได้ว่าเรื่องริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย และจุดด่างดำต่างๆ เป็นปัญหาหนักใจของหนุ่มสาววัย 30+ แทบทุกคน เพราะคงไม่มีใครอยากโดนทักว่า “หน้าแก่”
ปัจจุบันมีหลากหลายวิธีที่จะช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยบนใบหน้าได้ ทั้งการใช้เทคโนโลยี การทำศัลยกรรม รวมถึงการดูแลตัวเอง ครั้งนี้ MEGA We care ได้นำข้อมูลเกี่ยวกับ 5 วิธีต้านริ้วรอยที่คนส่วนใหญ่นิยมใช้มาบอกกัน วิธีไหนที่เหมาะกับคุณที่สุด วิธีไหนที่คุ้มค่าคุ้มราคา หรือวิธีไหนที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจนและยั่งยืน ไปเช็คลิสต์ได้เลย
1. ฉีดโบท็อกซ์
การฉีดโบท็อกซ์ เป็นวิธีลดปัญหาริ้วรอยแห่งวัยที่นิยมอย่างมากวิธีหนึ่ง ซึ่งเป็นการทำให้กล้ามเนื้อในส่วนที่ฉีดนั้นเป็นอัมพาต จนกล้ามเนื้อไม่สามารถหดตัวได้ตามธรรมชาติ ส่งผลให้รู้สึกตึงรั้งบริเวณใบหน้า เสมือนผิวหน้าถูกยกกระชับ ลดริ้วรอยและความไม่หย่อนคล้อยลงนั่นเอง
อย่างไรก็ตามการฉีดโบท็อกซ์นั้นมีผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น มีอาการปวดหัว มีอาการเจ็บ ทำให้คิ้วและหนังตาตกได้ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยจึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น และจะต้องให้แพทย์เป็นผู้ประเมินปริมาณของสารโบท็อกซ์ที่ควรฉีด
นอกจากนี้สิ่งที่ควรรู้คือ ผลลัพธ์จากการฉีดโบท็อกซ์นั้นไม่ถาวร สารที่ฉีดสามารถสลายไปได้เองภายใน 3-4 เดือน หลังจากนั้นกล้ามเนื้อจะค่อยๆ หดตัวจนกลับมาเป็นเหมือนเดิม จึงต้องฉีดซ้ำอยู่เรื่อยๆ และการฉีดในแต่ละครั้งมีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับวิธีลดริ้วรอยวิธีอื่นๆ
2. ร้อยไหม
การร้อยไหม เป็นอีกวิธียกกระชับผิว ช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย ด้วยวิธีการใช้เส้นไหมสอดเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อทำให้กล้ามเนื้ออักเสบ จนเกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ ดังนั้น จึงทำให้รู้สึกเจ็บ เพราะเกิดการอักเสบภายใน และรู้สึกหน้าตึงจากการถูกดึงรั้งโดยเส้นไหมที่เกี่ยวอยู่ด้านในนั่นเอง ผลลัพธ์ที่ได้จากการร้อยไหมนั้นไม่ถาวร จะอยู่นาน 8 เดือน แล้วเส้นไหมจะสลายไปเอง
สำหรับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังจากร้อยไหมคือ เกิดอาการบวม ฟกช้ำ อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา ทำให้รูปหน้าไม่เท่ากันได้ หรือในบางรายอาจเกิดการติดเชื้อ ส่งผลต่อเส้นประสาทบนใบหน้าเสียไป เป็นต้น แต่ทั้งนี้ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นของแต่ละคนจะต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับความชำนาญของแพทย์และปัจจัยอื่นๆ นอกจากนี้ต้องระมัดระวังในกรณีทำทรีทเมนต์ที่ต้องใช้ความร้อน โดยเฉพาะบริเวณผิวหน้า เพราะอาจทำให้ไหมที่ร้อยไว้นั้นสลายเร็วขึ้น ซึ่งจะเท่ากับว่าไม่คุ้มค่ากับที่ทำลงไปนัก
3. ทำเลเซอร์
การทำเลเซอร์ผิวหนัง ส่วนใหญ่ทางการแพทย์จะใช้ในทางการรักษาโรคผิวหนัง แต่อย่างไรแล้วก็ยังมีการนำมาใช้ในด้านความงามด้วยเช่นกัน โดยหวังผลในเรื่องการปรับสภาพผิว ด้วยการลอกชั้นผิวหนังเก่าออกเพื่อให้ได้ผิวใหม่ที่ดูอ่อนเยาว์ ด้วยวิธีการใช้ลำแสงเลเซอร์ยิงไปที่ผิว ส่งผลให้ผิวบริเวณที่ทำเลเซอร์ดูใส และอ่อนเยาว์ลง
แต่ต้องแลกมากับผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นคือ ทำให้รู้สึกเจ็บระหว่างการทำ เกิดรอยแดง มีอาการบวม ระคายเคือง สีผิวเปลี่ยน เสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย และผิวจะมีความเปราะบางมากขึ้น เมื่อเจอแสงแดดอาจเกิดปัญหาผิวไหม้ หรือหน้าแดงได้ง่าย ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำเลเซอร์จะไม่ถาวร ต้องทำซ้ำอยู่เรื่อยๆ หลังจากที่แล้วจะต้องใช้เวลาพักฟื้นก่อนอย่างน้อย 10-20 วันจึงจะหายดี และเพื่อความปลอดภัยจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
4. ทาครีมบำรุง
การใช้ครีมบำรุง หรือเซรั่มสำหรับลดเลือนริ้วรอย เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยม เนื่องจากสามารถทำได้ด้วยตัวเองที่บ้าน ซึ่งมีครีมบำรุงและเซรั่มให้เลือกซื้อหลายแบรนด์ วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการเจ็บตัว และชอบความสะดวก
แม้การแก้ปัญหาริ้วรอยด้วยวิธีนี้จะค่อนข้างปลอดภัย แต่ก็ต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน แต่หากใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคุณภาพ ไม่ได้มาตราฐานก็อาจสูญเงินเปล่า เพราะไม่เห็นผลลัพธ์เลย หรือร้ายแรงที่สุดอาจทำให้เกิดอาการแพ้ต่างๆเกิดขึ้นได้
5. ดูแลจากภายในด้วยสุดยอดสารต้านแก่
อีกหนึ่งทางเลือกใหม่สำหรับผู้มีปัญหาเรื่องริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย ซึ่งวิธีนี้เป็นการดูแลจากภายในและยั่งยืน คือ การรับประทานสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) ที่มีคุณสมบัติในการไปต่อต้านสารอนุมูลอิสระ ไม่ให้ไปทำลายเซลล์ในร่างกายและเซลล์ผิว
โดยเฉพาะ แอสต้าแซนธิน (Astaxanthin) ที่มีความแรงในการต่อต้านอนุมูลอิสระอย่างมีประสิทธิภาพสูง มีความปลอดภัยกว่า เพราะเป็นสารสกัดธรรมชาติจากสาหร่ายสีแดง และด้วยบทบาทที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระนั้น พบว่ามีความแรงกว่า วิตามินซี วิตามินอี ชาเขียว และโคเอ็นไซม์คิวเทนอีกด้วย จึงมีความสามารถในการช่วยในการปกป้องเซลล์ผิว และเสริมความแข็งแรงของผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้ผิวนั้นกลับมายืดหยุ่นดี คอลลาเจนและอีลาสตินแข็งแรงขึ้น จึงปลุกเซลล์ผิวให้กลับคืนมา เสมือนผิวย้อนวัย ริ้วรอยจางหายไป และยังช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด ตัวการที่ทำให้ผิวไม่หมองคล้ำได้ง่าย
แอสต้าแซนธิน (Astaxanthin) เป็นสารที่ได้รับความนิยมกันมากในศาสตร์ชะลอวัย และมีการวิจัยศึกษาเรื่องการลดริ้วรอยได้อย่างมากมาย จากการศึกษานั้นพบว่า ผิวชุ่มชื้นขึ้น ริ้วรอยตื้นขึ้น ผิวเรียบเนียนขึ้น และนี่คือการดูแลผิวจากภายในอย่างยั่งยืน
*หมายเหตุ
ประเมินการให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนจากความสามารถและระยะเวลาที่ริ้วรอยดูจางลง ผิวเต่งตึงขึ้น
ประเมินผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาวจากระยะเวลาที่ประสิทธิภาพในการลดเลือนริ้วรอยยังคงอยู่ และความถี่ที่ต้องทำซ้ำ
ประเมินความสะดวกจากการเว้นระยะกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เช่น สามารถทำเองได้ที่บ้าน หรือ ต้องทำโดยผู้แพทย์เชี่ยวชาญเท่านั้น เป็นต้น
ทั้งหมดนี้คือ ข้อมูลประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกับ 5 วิธียอดนิยมเพื่อการต้านริ้วรอย เพื่อความคุ้มค่าคุ้มราคาแล้ว นอกจากจะคำนึงถึงผลลัพธ์ที่ได้แล้ว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือความปลอดภัย และผลข้างเคียงที่อาจจะได้รับ แต่ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ละบุคคล ด้วยความห่วงใยจาก MEGA We care