เป็นที่ทราบกันดีว่า สุขภาพผิวดีจะต้องมีความเรียบเนียน นุ่มนวล ไม่มีริ้วรอย ไม่มีจุดด่างดำ สีผิวสม่ำเสมอเนียนทั่วใบหน้า ทั้งนี้ปกติผิวหนังก็เหมือนกับเซลล์ทั่วๆไป คือมีการเจริญเติบโต สึกหรอ และมีการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาแทนที่ ซึ่งกระบวนการนี้จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยอาหาร การบำรุงรักษาทั้งภายนอกภายใน การที่เราจะดูแลผิวพรรณได้อย่างดี จำเป็นต้องรู้โครงสร้างและหน้าที่ของผิวหนังอย่างคร่าวๆเสียก่อน
1. ชั้นหนังกำพร้า (epidermis)
เป็นผิวหนังชั้นนอก คอยทำหน้าทีสร้างเซลล์ใหม่ แล้วผลัดเซลล์เก่า หลุดลอกออกมาเป็นขี้ไคล นอกจากนี้ยังเซลล์สร้างเม้ดสี ที่เรียกว่า เมลาโนไซต์ (Melanocyte) คอยทำหน้าที่สร้างเม็ดสี (Melanin) อยู่ที่บริเวณชั้นล่างสุดของหนังกำพร้านั่นเอง
2. ชั้นหนังแท้ (dermis)
มีความสาคัญและมีปริมาณมากถึงร้อยละ 90 ของโครงสร้างผิวทั้งหมด โดยชั้นหนังแท้ประกอบด้วยคอลลาเจน ซึ่งพบประมาณร้อยละ 70 และอีลาสติก พบประมาณร้อยละ 5 นอกจากนี้ยังประกอบด้วยเส้นประสาท เส้นเลือด ต่อมไขมัน กลูโคสอะมิโนไกลแคน ซึ่งเป็นตัวเชื่อมยึดคอลลาเจน เส้นใยอีลาสติก และส่วนประกอบต่างๆในชั้นหนังแท้ให้อยู่ด้วยกัน ทำให้เกิดความชุ่มชื้น ถ้าชั้นนี้ถูกทำลาย เช่น คอลลาเจน อีลาสติกถูกทาลาย ก็จะเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น
3. ชั้นไขมัน (subcutaneous fat)
ทำหน้าที่ป้องกันการกระทบกระแทกระหว่างผิวหนังและกล้ามเนื้อภายในและจะบางลงเมื่ออายุมากขึ้น ชั้นนี้จะประกอบไปด้วย เซลล์ไขมัน และท่อน้ำเหลืองอยู่ด้วย
ร่างกายของเราจะมี โปรตีนคอลลาเจนมากกว่า 1ใน3 โปรตีนในร่างกาย และเป็นส่วนประกอบหลักของผิวหนังในร่างกายมากถึง 70% และพบว่ามีปริมาณหนาแน่นในวัยเด็กและจะค่อยๆเสื่อมสภาพลงตามกาลเวลา โดยอายุ 25 ขึ้นไป จะมีปริมาณคอลลาเจน ลดลงทุกปี ปีละ 1.5% ซึ่งจะนำไปสู่การหย่อนคล้อยของผิว จนเกิดริ้วรอย
คอลลาเจน (Collagen) เป็นโปรตีนที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนต่อกันและมีการประสานกันเป็นเส้นใย ซึ่งมีส่วนช่วยให้โครงสร้างของผิวแข็งแรงและมีความยืดหยุ่น ส่งผลให้ผิวเต่งตึง แน่นกระชับมากขึ้น ดูอ่อนเยาว์ นอกจากนี้ยังมีความสำคัญต่อกระดูกอ่อน เส้นเอ็น ผนังหลอดเลือดและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันต่างๆในร่างกาย
ปัจจัยที่ก่อให้เกิดการสลายตัวของคอลลาเจน คือ อนุมูลอิสระที่เกิดจากแสงแดด มลพิษต่างๆ บุหรี่ สารปนเปื้อนในอาหารที่รับประทานเข้าไป และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ส่งผลต่อชั้นผิวหนัง ทำให้เกิดความไม่สมดุลกันระหว่างการผลิต และการสลายตัวของคอลลาเจนตามธรรมชาติ ส่งผลให้เกิดริ้วรอย ผิวหน้าหย่อนคล้อย ดังนั้น วิธีที่จะทำให้ผิวพรรณกลับคืนสู่ความวัยเยาว์นั้น ก็คือการเพิ่มคอลลาเจนให้กับผิว
คอลลาเจน ไฮโดรไลเซต (Collagen Hydrolysate) เป็นสารอาหารที่ผ่านขบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ได้คอลลาเจนที่มีขนาดและความยาวสั้นลงนั่นเอง ซึ่งดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดี สามารถนำไปใช้ในกระบวนการสร้างคอลลาเจนให้แก่เซลล์ผิวได้
หลายคนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการทานคอลลาเจน เช่น ทานปริมาณมากแล้วดีจริงเหรอ, ขนาดคอลลาเจนยิ่งเล็กยิ่งดีจริงเหรอ, ทานแล้วบำรุงได้ทั้งผิวและข้อจริงเหรอ
คำตอบก็คือ แท้จริงแล้วปริมาณหรือขนาดคอลลาเจนไม่ได้บ่งบอกถึงประโยชน์ที่จะได้รับจริงเสมอไป ซึ่งในการเลือกรับประทานคอลลาเจน ควรพิจารณาถึง
เป็นคอลลาเจน ไฮโดรไลเชต เพราะสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดี
มีผลการวิจัยในผู้ใช้จริง เพื่อมั่นใจได้ว่าต้องรับประทานปริมาณเท่าไร ระยะเวลานานแค่ไหน เพื่อให้ได้ประโยชน์ตามที่ต้องการ
มาตรฐานการผลิต ควรพิจารณาเลือกยี่ห้อที่ผลิตจากโรงงานที่ได้มาตรฐานระดับสากล เพราะจะมีการควบคุมคุณภาพ ความบริสุทธิ์ของวัตถุดิบที่ใช้ การควบคุมสารปนเปื้อน แต่หากเป็นโรงงานผลิตที่ไม่ได้มีการควบคุมคุณภาพ ถึงจะรับประทานปริมาณมากก็อาจไม่ได้ผลตามที่ต้องการจริง
ดังนั้นหลักการเลือกรับประทานคอลลาเจนนั้น ควรหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับชนิดคอลลาเจน มาตรฐานการผลิต และผลการวิจัยในผู้ใช้จริงเพื่อความมั่นใจในการรับประทานต่อเนื่องระยะยาว
E.Proksch และคณะศึกษาประสิทธิภาพของ คอลลาเจน ไฮโดรไลเซต (VERISOL® ) เมื่อรับประทาน วันละ 2.5 กรัม ต่อเนื่อง 8 สัปดาห์ เปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับประทานในผู้หญิงอายุ 45-65 ปี จำนวน 114 คน พบว่า การรับประทาน VERISOL® 2.5 g. วันละ 1 ครั้ง จะช่วยลดริ้วรอย เพิ่มปริมาณคอลลาเจนและอีลาสตินได้อย่างมีนัยสำคัญ
รับประทานวันละ 2,500 มิลลิกรัม ต่อเนื่อง 2 เดือน
1. ผู้ที่ต้องการเสริมคอลลาเจนให้กับผิว
2. ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย