หน้าเป็น 'ฝ้า' ทำยังไงดี

หน้าเป็น 'ฝ้า' ทำยังไงดี

หน้าเป็น ‘ฝ้า’ ทำยังไงดี

     หน้าเป็นฝ้าอีกหนึ่งปัญหาที่คอยกวนใจใครหลายคน โดยมีสาเหตุมาจากผิวที่โดนทำลายจากรังสี UV ในแสงแดด โดยเฉพาะรังสี UVA ที่มีผลต่อการเกิดฝ้า เพราะ UVA มีคลื่นที่ยาวกว่า UVB จึงทำให้สามารถทะลุลงลึกไปถึงชั้นเซลล์ผิวได้ ร่วมไปถึงสารอนุมูลอิสระที่อยู่ในร่างกาย มลภาวะ ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ และการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายรวมทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้เป็นฝ้าขึ้นได้

     เมื่อเป็นฝ้าแล้วจะทำยังไงดี?..การรักษาฝ้าจึงเป็นขั้นตอนต่อไปที่หลายๆ คนกำลังมองหา ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้มีตัวเลือกมากมายในการรักษาฝ้าทั้งการทาครีม การฉีดเมโส การทำเลเซอร์ หรือการรับประทานสารอาหารที่ช่วยรักษาฝ้าแบบธรรมชาติได้อย่างปลอดภัย ซึ่งเป็นการดูแลตั้งแต่ภายใน อีกทั้งยังช่วยป้องกันการเกิดฝ้าซ้ำอีกด้วย


  สนใจหัวข้อไหน...คลิกเลย

  วิธีการรักษาฝ้า

  แก้ไขปัญหาฝ้าด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ 


วิธีการรักษาฝ้า

1. ทาครีมกันแดด

     เพราะการเป็นฝ้าเกิดจากโดยแสงแดดทำร้าย จึงจำเป็นต่อหลีกเลี่ยงแสงแดดเพื่อป้องกันผิวจากรังสี UV โดยควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปและต้องเป็นแบบ PA+++ เพื่อช่วยปกป้องผิวอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการทาครีมกันแดดจะสามารถปกป้องผิวของเราได้ประมาณ  2-3 ชั่วโมง ดังนั้นจึงต้องหมั่นทาครีมกันแดดระหว่างวัน อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพื่อให้แน่ใจได้ว่าครีมกันแดดจะมีประสิทธิในการปกป้องผิวจากแสงแดดได้และป้องกันการเกิดฝ้า

2. ทาครีมบำรุง

     การทาครีมบำรุงเป็นอีกหนึ่งวิธีการรักษาฝ้าที่นิยมใช้กันมากที่สุด โดยส่วนใหญ่ครีมรักษาฝ้าที่จำหน่ายตามท้องตลาด จะมีส่วนผสมของ วิตามินซี อาร์บูติน (Arbutin) กรดโคจิก (Kojic) ที่สามารถทำให้ฝ้าจางลงได้ และมีผิวที่กระจ่างใสขึ้น แต่การทางครีมบำรุงต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะเห็นผลลัพท์ที่พอใจ หากมีการหยุดทาครีมเมื่อไหร่ ฝ้าก็สามารถกลับมาเกิดซ้ำได้อีก

3. ฉีดเมโสรักษาฝ้า (Mesotherapy)

     เป็นการฉีดผิวด้วยวิตามินซีเข้าไปในชั้นผิวหนังบริเวณที่เป็นฝ้า เพื่อกระจายตัวยาที่ใช้รักษาเข้าสู่เซลล์ผิวหนังที่มีปัญหา แต่ต้องมีการฉีดซ้ำทุกๆ 1-2 สัปดาห์ ต้องรักษาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ การรักษาฝ้าด้วยวิธีนี้จะช่วยให้ฝ้าดูจางลงได้  แต่อาจมีผลข้างเคียงตามมาเช่น มีอาการแพ้ ระคายเคือง เกิดการอักเสบ หรือหน้าลอกได้

4. การทำเลเซอร์ Fraxel

     เป็นเลเซอร์ที่ใช้พลังงานความร้อนมากระตุ้นเซลล์ผิวให้มีการผลัดเซลล์ผิวได้ไวยิ่งขึ้น และทำให้ส่วนที่เป็นฝ้าถูกผลัดออกไปด้วย แต่ก็มีผลข้างเคียงคือ อาการใบหน้าบวมแดงหลังจากทำเซเลอร์ วิธีการักษาฝ้าด้วยเลเซอร์อาจไม่ใช่ทางเลือกที่แก้ไขปัญหาฝ้าได้อย่างถาวร เพราะความร้อนนั้นทำให้เซลล์ผิวอ่อนแอ ไวต่อความร้อน ยิ่งกระตุ้นการสร้างเม็ดสีผิวผิดปกติได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

5. กินยารักษาฝ้าทรานซามิน (Tranexamic acid)

     การกินยาเพื่อรักษาฝ้าเมื่อออกฤทธิ์จะสามารถยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่ใช้สร้างเม็ดสีเมลานินได้ จึงมีผลทำให้ฝ้าจางลง แต่อย่างไรก็ตามยาตัวนี้มีผลข้างเคียง เช่น มีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เจ็บหน้าอก และยังส่งผลให้เกิดหลอดเลือดฝอยในตาอุดตันจนอาจเสี่ยงต่อการตาบอดได้ และยังไม่มีรายงานด้านความปลอดภัยเมื่อใช้เป็นระยะเวลานาน ดังนั้นการเลือกใช้ยารักษาควรเลือกแบบที่ปลอดภัย หากเป็นการรักษาฝ้าแบบธรรมชาติก็จะดีไม่น้อย

แก้ไขปัญหาฝ้าด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ 

     ในปัจจุบันได้นำกลุ่มวิตามินและสารสกัดจากธรรมชาติที่มีหลักฐานทางการแพทย์ ว่าช่วยแก้ปัญหาให้กับผู้ที่มีปัญหาเรื่องฝ้า ด้วยหลักการในการแก้ไขปัญหาฝ้า เพียง 3 ขั้นตอน ดังนี้

 1. ลดเลือน

     สาเหตุหนึ่งของการเกิดฝ้า คือ เซลล์เม็ดสีทำงานผิดปกติซึ่งเป็นผลจากเซลล์ผิวที่อ่อนแอ เสื่อมสภาพ ส่งผลให้เซลล์เม็ดสีผลิตออกมามากกว่าปกติและมีการเกาะตัวกันเป็นหย่อมๆ ทำให้เห็นเม็ดสีผิวเข้มมากขึ้น ตัวการสำคัญที่กระตุ้นให้เม็ดสีผิวเสียสมดุลย์ คือ อนุมูลอิสระ การปรับสมดุลย์ของการสร้างเม็ดสีเมลานิน จากบทบาทของสารสกัดจากเปลือกสนมาริไทม์ฝรั่งเศส (French Maritime Pine) ซึ่งเป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่นิยมและเป็นที่ยอมรับในแถบยุโรป โดยมีผลการวิจัยทางการแพทย์พบว่า การรักษาฝ้าด้วยสารสกัดจากเปลือกสนฝรั่งเศส ชนิดรับประทาน 75 มก./วัน ได้ผลดี มีความเข้มของฝ้าลดลง 2 หน่วย หรือขนาดพื้นที่ฝ้าลดลงมากกว่า 1/3 และไม่ทำให้ฝ้าเกิดขึ้นใหม่ สามารถลดการสร้างเม็ดสีที่ผิดปกติ ช่วยให้ผิวกระจ่างขาวใสขึ้นและลดรอยฝ้าให้ดูจางลง และสารสกัดจากเปลือกสนมาริไทม์ฝรั่งเศสสามารถนำสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงได้ทุกเซลล์อย่างเต็มที่  อีกทั้งยังช่วยขับถ่ายของเสียออกจากเซลล์ได้อย่างหมดจด ส่งผลต่อความแข็งแรงของผิวอีกด้วย

2. บำรุงผิว

     การเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับโครงสร้างหลักของผิว เมื่อเซลล์ผิวแข็งแรงก็ทำให้เซลล์เม็ดสีกระจายตัวได้สม่ำเสมอ มีสีผิวที่เรียบเนียน ไม่กระดำกระด่าง รอยฝ้าดูจางลง ซึ่งเป็นคุณประโยชน์จากสารสกัดจากเปลือกสนมาริไทม์ฝรั่งเศส สารสกัดจากข้าว  วิตามินซี วิตามินอี โดยสารสกัดและวิตามินเหล่านี้ล้วนมีบทบาทเป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวการสำคัญที่ทำร้ายโครงสร้างผิวให้อ่อนแอลง ช่วยบำรุงและฟื้นฟูผิวให้กลับมาแข็งแรง เพื่อไม่ให้เกิดฝ้าขึ้นมาใหม่ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวอุ้มน้ำได้เป็นอย่างดี ไม่แห้งกร้าน ดูมีน้ำมีนวลมากขึ้นขาวกระจ่างอย่างเป็นธรรมชาติและช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวดูเต่งตึง ช่วยลดริ้วรอย

3. ป้องกัน

     สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือการป้องกันผิว เพื่อไม่ให้ผิวกลับมาเป็นฝ้าซ้ำอีก โดยการป้องกันรังสี UV จากแสงแดดที่เป็นตัวกระตุ้นให้เม็ดสีทำงานผิดปกติอีกครั้งได้ ดังนั้นการหลีกเลี่ยงแสงแดดจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เช่น การทาครีมกันแดด เลือกใช้ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพสูงอยู่เสมอเพื่อป้องกันรังสี UVA และ UVB และนอกจากนี้การรับประทานสารอาหารที่ป้องกันรังสี UV ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะช่วยปกป้องผิวได้เช่นกัน โดยสารสกัดจากมะเขือเทศที่ให้สารสำคัญอย่างไลโคปีน และสารหร่ายดีซาลีน่าที่มีให้เบต้าแคโรทีน ซึ่งทำหน้าที่ช่วยปกป้องเซลล์ใต้ชั้นผิวหนังจากการถูกทำลายของรังสี UV ทำให้ผิวแข็งแรง ทนต่อแสงแดดได้มากขึ้นเพื่อลดโอกาสการเกิดฝ้าซ้ำ

     เมื่อรักษาฝ้าให้จางลงแล้ว การป้องกันฝ้าไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ควรให้ความสำคัญ ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดๆ พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมทำลายผิวหน้า และเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้หลากหลายและครบถ้วนเพื่อเป็นการดูแลจากภายใน เพราะการรักษาฝ้าแบบธรรมชาติปลอดภัยกับผิวและร่างกายของเรา ด้วยความห่วงใยจาก MEGA We care


ขอบคุณข้อมูลจาก :

https://medthai.com/วิธีรักษาฝ้า/
https://www.ladyissue.com/47084
https://pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/1/ประโยชน์-มะเขือเทศ-ไลโคปีน-lycopene/

 

 More-information-buttoncontact-specialist-for-information-button

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้