“แน่นหน้าอก หน้ามืด ไอเป็นเลือด จนหมดสติ”
“ปวดท้อง ปวดหลัง คลำพบก้อนที่เคลื่อนไหวได้ในช่องท้อง”
“หายใจลำบากขึ้น กลืมอาหารหรือน้ำลายลำบาก”
ใครก็ตามที่มีอาการแบบนี้... อาจจะเป็นโรคหลอดเลือดแดงในช่งท้องโป่งพอง
ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาในปัจจุบัน ทำให้การวินิจฉัยโรคต่างๆ สามารถทำได้อย่างละเอียดมากขึ้นซึ่งทำให้ได้รู้จักกับ ‘โรคหลอดเลือดแดงในช่องท้องโป่งพอง’ อีกหนึ่งโรคที่เป็นภัยเงียบด้านสุขภาพที่เสมือนระเบิดเวลา เพราะหลอดเลือดแดงที่โป่งพองก็เหมือนลูกโป่งที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงจุดก็แตก
และเมื่อหลอดเลือดแดงแตกโอกาสการเสียชีวิตก็สูงเกือบ 100%
รศ.(พิเศษ) ทวี โชติพิทยสุนนท์ คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ ได้อธิบายเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดในช่องท้องโป่งพองเอาไว้ว่า ‘โรคนี้เป็นภาวะผนังของท่อหลอดเลือดแดงมีความผิดปกติ โดยมีลักษณะโป่งพองออกมาก โดยตอนแรกๆ อาจจะโป่งเล็กน้อย แต่พอนานวันเข้ามันจะค่อยๆ ขยายตัวมากขึ้นๆ เพราะเลือดที่ไหลผ่านมันจะไปดันอยู่ตลอดเวลา’
เรื่องอายุเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดแดงโป่งพอง โดยเฉลี่ยผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะมีอายุตั้งแต่ 60 ปีเป็นต้นไป เพราะสารอนุมูลอิสระในร่างกายมีมากขึ้น ทำให้หลอดเลือดแดงเริ่มเสื่อมภาพลงไปตามวัย เส้นใยยืดหยุ่นที่อยู่ในผนังชั้นกลางของหลอดเลือดแดงอ่อนแอลง ก็ย่อมทำให้เกิดปัญหาการโป่งพองขึ้น พบได้ในผู้สูงอายุ ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง
การสูบบุหรี่ส่งผลให้หัวใจทำงานหนักขึ้น ทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบ หัวใจเต้นเร็ว และความดันโลหิตเพิ่มขึ้น และมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจในอนาคต
ภาวะที่ร่างกายมีไขมันในเลือดมากกว่าปกติ จะทำให้ไขมันไปสะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือดแดงทั่วร่างกาย ทำให้เกิดเส้นเลือดแดงอุดตัน ซึ่งเป็นการเพิ่มความดันภายในหลอดเลือดแดง และทำให้เลือดไหลไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ของร่างกายไม่เพียงพอ
ภายในครอบครัวเคยมีประวัติการรักษาเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดแดงโป่งพอง ก็จะทำให้สมาชิกคนอื่นๆ เสี่ยงที่จะเกิดโรคนี้ได้ในอนาคตเช่นกัน
สำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดโป่งพองโดยส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการ หรือหากจะแสดงอาการให้เห็นอยู่บ้าง เช่น จุกเสียด แน่นหน้าอกที่มักจะเป็นๆ หายๆ ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ ไม่รู้ว่าร่างกายของตัวเองกำลังผิดปกติโดยวิธีที่จะทำให้รู้ได้ว่าตัวเองป่วยเป็นโรคหลอดเลือดโป่งพองหรือไม่ มีเพียงวิธีเดียว คือ ต้องเข้ารับการตรวจร่างกายอย่างละเอียดที่โรงพยาบาล เช่น การเอกซเรย์แบบฉีดสี หรือซีทีสแกน
ถ้าหากมีอาการใดๆ ในลักษณะที่กล่าวมานี้ ขอให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้องและสามารถรักษาได้ทันท่วงที
ไม่จำเป็นต้องรอให้มีอาการก่อนแล้วค่อยหาวิธีป้องกันทีหลัง ควรดูแลหลอดเลือดหัวใจให้แข็งแรงตั้งแต่วันนี้ ด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์และช่วยบำรุงหลอดเลือดอย่างวิตามินอี ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด อีกทั้งยังช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย อย่างเซลล์ผนังหลอดเลือด เพื่อไม่ให้สารอนุมูลอิสระมาทำลายได้
ขอบคุณข้อมูลจาก :
https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2057981?utm_source=insider&utm_medium=web_push&utm_campaign=focus-blood-2057981_260321_1625&webPushId=MjgzNDA
https://www.bumrungrad.com/th/conditions/abdominal-aortic-aneurysm
https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/เลือดช่องท้อง/
https://www.bangkokhearthospital.com/content/watch-out-5-warning-signs-and-symptoms-that-might-indicate-aortic-aneurysm