ถ้าคุณกำลังเผชิญกับปัญหาเหล่านี้ หุ่นพัง ใส่เสื้อผ้าอะไรก็ไม่สวย รู้สึกไม่มั่นใจในรูปร่างของตัวเอง พยายามลดน้ำหนักเท่าไหร่แต่ก็ไม่เห็นผล…เราคือเพื่อนกัน!!
แม้ว่าตอนนี้กระแสของคำนิยาม Real Size Beauty ซึ่งเป็นการพยายามสร้างทัศนคติให้ทุกคนเกิดความภูมิใจในรูปร่างของตัวเอง กำลังเป็นที่พูดถึงอย่างมากในบ้านเรา โดยเฉพาะในกลุ่มของแฟนนางงาม แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า “การมีรูปร่างที่ดี ยังคงเป็นมาตรฐานหลักของคนในสังคมส่วนใหญ่” ซึ่งนั่นเท่ากับว่า หากคุณปล่อยปะละเลยการดูแลรูปร่างของตัวเอง หรือกินเยอะจนอ้วนเผละ ก็จะทำให้เสียบุคลิกภาพ จนสูญเสียความมั่นใจ และอาจจะทำให้คุณพลาดโอกาสดีๆ ในชีวิตไปอย่างน่าเสียดายได้ในที่สุด
ด้วยเหตุนี้…เพื่อทวงคืนหุ่นเพรียวสวย ให้กลับมารวยความมั่นใจได้อีกครั้ง มือใหม่หัดลดหลายคนจึงมองหาวิธีลดน้ำหนักที่เหมาะสมกับตัวเอง ซึ่งหนึ่งในวิธีที่กำลังเป็นที่นิยมก็คือการเลือกลดน้ำหนักด้วยการกินแบบ IF (Intermittent Fasting) ซึ่งทำได้ง่าย เหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกาย แต่จะลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้อย่างไรให้ได้ผล โดยไม่ทำให้เสียสุขภาพ และที่สำคัญต้องไม่ทำให้โยโย่? บทความนี้จาก MEGA We care มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มาบอกกัน พร้อมแนะนำตัวช่วยดีๆ ที่จะทำให้การลดน้ำหนักครั้งนี้ของคุณเป็นเรื่องง่ายกว่าที่เคย
สนใจหัวข้อไหนคลิก...
การลดน้ำหนักด้วยวิธี IF คืออะไร?
การลดน้ำหนักด้วยวิธี IF เหมาะกับใครบ้าง?
ทำไมคนส่วนใหญ่จึงลดน้ำหนักด้วยวิธี IF ไม่สำเร็จ?
ตัวช่วยเพื่อให้การลดน้ำหนักด้วยวิธี IF ทำได้ง่ายขึ้น?
IF หรือ ชื่อเต็มๆ คือ Intermittent Fasting เป็นวิธีการลดน้ำหนักที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยจะเน้นไปที่การปรับช่วงเวลาในการกิน โดยจะให้กินแบบจำกัดช่วงเวลา หรือ กินบางช่วงเวลาและอดในบางช่วงเวลานั่นเอง หากถามว่าการลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้จะได้ผลจริงหรือไม่? คำตอบคือ จริง ข้อมูลนี้อ้างอิงจากผลการวิจัยทางการแพทย์หลายฉบับที่ได้ออกมายืนยันและยอมรับแล้วว่าสามารถช่วยให้น้ำหนักตัวลดลงได้จริง ซึ่งสูตรการกินของ IF นั้นมีอยู่หลายแบบด้วยกัน แต่สูตรที่คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นเลือก คือ สูตร 16/8 โดยจะใช้เวลาอดอาหาร 16 ชั่วโมง แล้วกิน 8 ชั่วโมง
สำหรับวิธีลดน้ำหนักด้วยการกินแบบวิธี IF จะแบ่งเวลาการกินออกเป็น 2 ช่วง ดังนี้
1. ช่วงกิน (Feeding) คือ ช่วงเวลาที่สามารถกินอาหารได้ตามปกติ (จำกัดปริมาณแคลอรี่) ส่งผลให้ร่างกายหลั่งอินซูลินออกมาเพิ่มขึ้น และร่างกายจะเก็บสะสมไขมันรวมถึงน้ำตาลไว้ในตับ แล้วค่อยๆ ดึงออกมาใช้เป็นพลังงานในภายหลัง
2. ช่วงอด (Fasting) คือ ช่วงเวลาที่ต้องอดอาหาร ทำให้ร่างกายหลั่งอินซูลินลดลง แล้วหลั่งโกรทฮอร์โมนออกมาเพิ่มขึ้น เมื่อไม่มีอาหารใหม่เข้าไป ร่างกายก็จะดึงเอาไขมันรวมถึงกลูโคสที่สะสมไว้ออกมาใช้ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง อีกทั้งยังทำให้กระบวนการเผาผลาญไขมันทำงานได้ดีขึ้นด้วย
*การกินสลับกับการอดอาหารในระยะเวลาสั้นๆ นี้ จะสามารถเพิ่มอัตราการเผาผลาญให้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยลดการสะสมไขมันตัวร้ายในบริเวณต่างๆ ของร่างกาย เช่น รอบเอว ต้นแขน ต้นขา เป็นต้น โดยการอดอาหารสลับกับการกินนี้ จะไม่ทำให้มวลกล้ามเนื้อลดลงเหมือนการอดอาหารทั่วไป จึงไม่เกิดปัญหาผิวหย่อนคล้อยจากการที่น้ำหนักลดลง
การลดน้ำหนักด้วยวิธีการกินแบบ IF นี้ สามารถทำได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชายที่คิดว่าน้ำหนักเกิน แต่ไม่เหมาะสำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 20 ปี, ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับสารอาหารในปริมาณมากเป็นพิเศษเพื่อใช้ในการเจริญเติบโต และการลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้ยังไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น ป่วยโรคบูลิเมีย (โรคล้วงคออ้วก) ผู้ป่วยเบาหวาน เป็นต้น
แม้ว่าการลดน้ำหนักด้วยวิธีกินแบบ IF จะได้รับการยืนยันจากแพทย์ว่าได้ผลจริง อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้ได้สำเร็จ เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างเป็นตัวกำหนด สำหรับเหตุผลที่คนส่วนใหญ่ลดน้ำหนักด้วยวิธีการกินแบบ IF ไม่สำเร็จ มีดังนี้
1. หักโหมจนเกินไป เนื่องจากการลดน้ำหนักด้วยการกินแบบ IF นั้น จำเป็นต้องทำต่อเนื่องอย่างมีวินัย ซึ่งต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผล โดยการลดน้ำหนัก 1 กิโลกรัม อาจใช้เวลาเป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือนจึงจะเห็นผล ดังนั้นหากหักโหมจนเกินไปในช่วงเริ่มต้น หรือเลือกใช้สูตรการกินที่ยากจนเกินไป ก็อาจจะทำให้เกิดความรู้สึกท้อ และทำให้ไม่อยากทำต่อในที่สุด
2. ไม่สามารถจัดการกับความอยากอาหารของตัวเองได้ เนื่องจากหลักสำคัญของการลดน้ำหนักด้วยการกินแบบ IF นั้น อยู่ที่การกินและการอดตามช่วงเวลา เช่น งดอาหาร 1 มื้อในแต่ละวัน, กินอาหารปกติในช่วงเวลา Feeding ( 8 ชั่วโมงต่อวัน), ห้ามกินอาหารมื้อดึก เป็นต้น ดังนั้นหากไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมการกินให้เป็นไปตามแผนได้ ก็จะทำให้ลดน้ำหนักไม่สำเร็จนั่นเอง
3. ไม่สามารถจำกัดปริมาณแคลอรีในแต่ละวันได้ แม้ว่าการลดน้ำหนักแบบ IF จะสามารถกินอาหารได้ตามปกติในช่วงเวลา Feeding แต่ตามปกติในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการกินแหลก หรือกินตามใจปากได้เต็มที่ แต่ความหมายคือ กินได้แต่ต้องเป็นการกินอย่างพอเหมาะ กินแค่พออิ่ม มีการคำนวณและควบคุมปริมาณแคลอรีของอาหารที่จะกินในแต่ละวันด้วย (ปริมาณแคลอรีมาตรฐานของผู้หญิงอยู่ที่ประมาณ 1,500 แคลอรีต่อวัน ขณะที่ผู้ชายอยู่ที่ประมาณ 2,000 แคลอรีต่อวัน)
4. ไม่ออกกำลังกายเลย จริงอยู่ที่ว่าการลดน้ำหนักด้วยวิธีการกินแบบ IF หลักสำคัญอยู่ที่การปรับช่วงเวลาการกิน แต่นั่นไม่ได้แปลว่าคุณไม่จำเป็นต้องออกกำลังกาย เพราะหากอยากน้ำหนักตัวลดลงไปพร้อมกับการมีสุขภาพที่ดี การออกกำลังกายยังเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ และยังช่วยป้องกันการกลับมาโยโย่หรืออ้วนซ้ำอีกได้อีกด้วย
5. นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ รู้หรือไม่ว่าอดนอน หรือพักผ่อนไม่เพียงพอนั้นส่งผลให้ฮอร์โมนในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงทำให้อ้วนง่ายขึ้นได้ ดังนั้น เพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและควบคุมการสะสมไขมัน จำเป็นต้องนอนหลับพักผ่อนให้ได้อย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อให้ระบบเผาผลาญทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การลดน้ำหนักด้วยการกินแบบ IF จะได้ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หากทำร่างกายมีระดับวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญอยู่ในปริมาณที่เพียงพอ และเพื่อทำให้การลดน้ำหนักด้วยการกินแบบ IF ของคุณทำได้ง่าย และเห็นผลได้ชัดเจนขึ้น เรามี 3 ตัวช่วยดีๆ ที่อยากแนะนำ ดังนี้
สำหรับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักด้วยวิธีการกินแบบ IF ในช่วงเวลาที่อดอาหารนั้น จะทำให้ร่างกายขาดพลังงานและสารอาหารที่จำเป็น ทำให้รู้สึกหิวและโหย ซึ่งผลที่ตามก็คือเกิดการอยากอาหารและกินมากกว่าเดิม ในบางรายอาจประสบปัญหากล้ามเนื้อลีบเล็กลง เพราะร่างกายได้รับปริมาณโปรตีนในแต่ละวันไม่เพียงพอ ด้วยเหตุนี้ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้ผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก ลดความอยากอาหาร และเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ด้วยการกินโปรตีนในรูปแบบของเวย์โปรตีนสูตรสำหรับลดน้ำหนักโดยเฉพาะ ซึ่งตอบโจทย์คนยุคนี้ที่มีวิถีชีวิตเร่งรีบและต้องการความสะดวก (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมคลิกที่นี่)
สารสกัด CLA หรือ Conjugated Linoleic Acid คือกรดไขมันจำเป็น ซึ่งร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ CLA จึงมีประโยชน์และเหมาะสำหรับผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก เพราะมีส่วนช่วยในการยับยั้งการสะสมไขมันใหม่ที่เข้าสู่ร่างกาย ช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันเก่าที่สะสมตามส่วนต่างๆ อีกทั้งยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อให้รูปร่างเพรียวกระชับได้สัดส่วนมากขึ้นอีกด้วย (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมคลิกที่นี่)
ชาเขียว มีประโยชน์ต่อร่างกายในหลากหลายด้าน มี EGCG (EPIGALLOCATECHIN GALLATE) ซึ่งเป็นสารสำคัญที่พบมากที่สุดในชาเขียว เป็นสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติ ช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยลดกระบวนการแตกตัวของไขมัน ทำให้ไขมันดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้น้อย ช่วยการกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน ทำให้อัตราการเผาผลาญพลังงานของร่างกายเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีส่วนช่วยพัฒนาการทำงานของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้ ทำให้การย่อยอาหารดีขึ้น ด้วยเหตุนี้สารสกัดจากชาเขียวจึงเป็นอีกไอเทมที่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังหาตัวช่วยเพื่อให้การลดน้ำหนักง่ายและเห็นผลชัดเจนยิ่งขึ้น (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมคลิกที่นี่)
ด้วยความห่วงใยจาก_ MEGA We care