หากจะพูดถึงโรคเกี่ยวกับระบบขับถ่ายที่เป็นปัญหาสุขภาพของคนไทยมากที่สุดโรคก็คือ โรคริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids) จากการสำรวจพบกว่ามีคนไทยถึง 70% ป่วยเป็นโรคนี้ และผู้หญิงมีอัตราการป่วยมากกว่าผู้ชาย ซึ่งหากจะว่าไปแล้วหลายคนอาจจะคิดว่าโรคนี้อันตราย แต่แท้ที่จริงแล้วโรคนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้ และการรักษาก็ทำได้ไม่ยากอีกด้วย
โรคริดสีดวงทวาร (Hermorrhoids) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป เกิดจากการบวม อักเสบ หรือการหย่อนยานของเนื้อเยื่อบริเวณภายในทวารหนักส่วนปลาย โดยเนื้อเยื่อดังกล่าวจะทำหน้าที่ช่วยยืดหยุ่น รองรับการเสียดสีระหว่างอุจจาระกับทวารหนัก และปิดปลายทวารหนักไว้
สาเหตุของการเกิดโรคริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids) ส่วนมากเกิดจากพฤติกรรมการเบ่งถ่ายอุจจาระบ่อย และนานกว่าปกติ ซึ่งเกิดจากอาการท้องผูกจนกลายเป็นอาการท้องผูกเรื้อรัง นอกจากนั้นยังเกิดจากพฤติกรรมการยืน หรือนั่งท่าใดท่าหนึ่งติดต่อกันเป็นเวลานาน การยกของหนัก รวมถึงการกลั้นอุจจาระ และไม่ใช่แค่อาการท้องผูกเท่านั้นอาการท้องเสียเรื้อรังก็มีส่วนที่ทำให้เกิดโรคนี้ได้เช่นกัน หรือแม้แต่ผู้สูงอายุที่เกิดจากความเสื่อมของกล้ามเนื้อส่วนปลายทวารหนัก
วิธีการรักษาโรคริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids) แพทย์จะทำการวินิจฉัยระยะของความรุนแรง ซึ่งก็จะมีหลายวิธีที่ใช้รักษาไม่ว่าจะเป็น
1. แนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะพฤติกรรมและนิสัยการขับถ่าย การเลือกรับประทานอาหารที่มีกากใย รวมถึงการออกกำลังกายขยับเขยื้อนร่างกาย
2. การใช้ยา เช่น ยาระบาย ยาแก้ปวด ยาเหน็บ
3. การฉีดยา เพื่อเป็นการลดขนาดของริดสีดวงให้ยุบลง
4. การผ่าตัด เหมาะกับผู้ป่วยที่มีอาการมาก ซึ่งการผ่าตัดจะมี 2 วิธีได้แก่ การผ่าตัดโดยโดยศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะทำการตัดริดสีดวงส่วนเกินออก และการผ่าตัดด้วยเครื่องมือเฉพาะทาง
อย่างที่ทราบโรคริดสีดวงทวาร (Hermorrhoids) ต้นตอของโรคมาจากปัญหาอาการท้องผูก ซึ่งวิธีที่ป้องกันโรคนี้ได้ดีที่สุดซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำก็คือ อย่าปล่อยให้ท้องผูก และปรับเปลี่ยนนิสัยพฤติกรรมการขับถ่าย รวมทั้งรับประทานอาหารประเภทผักและผลไม้อย่างเพียงพอ เพื่อเพิ่มกากใยในระบบทางเดินอาหารเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาอาการท้องผูก
การเพิ่มกากใยพรีไบโอติกหรือไฟเบอร์ (Fiber) ในทางเดินอาหารนั้น ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารประเภทกากใยเป็นประจำ เช่น จากผักและผลไม้ ธัญพืช เช่น ข้าวโพด ข้าวกล้อง ข้าวไม่ขัดขาว ก็สามารถเสริมด้วยใยอาหารทางเลือกที่มีจำหน่ายทั่วไปในท้องตลาด ซึ่งมี 2 ประเภทคือ กากใยทั่วไปที่เป็นไฟเบอร์ และกากใยที่เป็นอาหารของแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ด้วยที่เรียกว่าพรีไบโอติกได้ ซึ่งจะเป็นการป้องกันและลดความเสี่ยงในการเป็นโรคริดสีดวงทวาร (Hermorrhoids) ได้เช่น ดื่มน้ำให้เพียงพอวันละ 6-8 แก้ว เลิกพฤติกรรมการนั่งห้องน้ำเป็นเวลานาน ไม่ควรเบ่งอุจจาระแรงๆ และอย่ากลั้นอุจจาระจนติดเป็นนิสัย แต่ละวันไม่ควรนั่งหรือยืนเป็นเวลานานๆ พยายามหาเวลาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สุดท้ายต้องพยายามควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้เกินมาตรฐาน
อาการท้องผูก ไม่เพียงแต่เป็นต้นเหตุของโรคริดสีดวงทวาร (Hermorrhoids) เท่านั้น ยังเป็นสาเหตุของโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่ายมากมาย เช่น โรคมะเร็งลำไส้ ลำไส้อุดตัน วิธีธรรมชาติที่ช่วยแก้ปัญหาท้องผูกซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ และสามารถ่ปฏิบัติได้เป็นประจำทุกวันก็คือ การรับประทานอาหารที่มีกากใยสูงหรือไฟเบอร์ (Fiber)
กากใยอาหารพรีไบโอติกหรือไฟเบอร์ (Fiber) คือเส้นใยซึ่งเป็นส่วนประกอบหนึ่งของพืช แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่
1. ไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำได้ (Soluble Fiber) พบได้ในอาหารธรรมชาติประเภทพืชตระกูลถั่ว หรือผลไม้อย่างแอปเปิ้ล และผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว มีประโยชน์ในการชะลอการช่วยให้ทำงานของระบบย่อยอาหารเป็นไปอย่างปกติ และช่วยให้ลำไส้ดูดซึมสารอาหาร
2. ไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำไม่ได้ (Insoluble Fiber) จะพบมากในอาหารธรรมชาติประเภทธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี ผักใบเขียว มันฝรั่ง และถั่วเปลือกแข็งต่าง ๆ โดยข้อดีของไฟเบอร์ชนิดนี้ก็คือ จะช่วยเพิ่มปริมาณเนื้ออุจจาระ และช่วยให้อุจจาระกักเก็บน้ำได้มากขึ้น ทำให้อุจจาระมีความนิ่มยิ่งขึ้น สามารถเคลื่อนผ่านลำไส้และขับออกมาจากร่างกายได้ง่าย
นอกจากจะช่วยเรื่องการขับถ่ายเป็นปกติ และลดความเสี่ยงท้องผูกแล้ว กากใยอาหารพรีไบโอติกหรือไฟเบอร์ (Fiber) ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพ คือช่วยให้อิ่มอยู่ท้องได้นานกว่าการรับประทานเนื้อสัตว์ โดยข้อเสียของการรับประทานเนื้อสัตว์มากๆ ที่เห็นชัดเจนก็คือ ย่อยยาก ซึ่งก็อาจทำให้เกิดปัญหาท้องผูกได้เช่นกัน ไม่เพียงเท่านั้นกากใยอาหารพรีไบโอติกหรือไฟเบอร์ (Fiber) ชนิดดีที่มีคุณสมบัติเป็นพรีไบโอติกนั้น ยังช่วยลดการดูดซึมของน้ำตาล และไขมันได้เป็นอย่างดี จึงดีต่อคนที่โรคเบาหวาน
สุดท้ายข้อดีของการมีกากใยอาหารพรีไบโอติกหรือไฟเบอร์ (Fiber) ชนิดที่เป็นพรีไบโอติกในร่างกายอย่างเพียงพอก็คือ ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในระบบทางเดินอาหารระบุไว้ว่ากว่า 70% ของระบบภูมิกันของมนุษย์อยู่ที่ลำไส้ ซึ่งภายในลำไส้จะมีแบคทีเรียชนิดดีอาศัยอยู่ และจะช่วยย่อยกากใยอาหารพรีไบโอติกหรือไฟเบอร์ (Fiber) ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรง
ปัญหาการไม่ชอบรับประทานผักและผลไม้ทำให้ร่างกายของคนจำนวนไม่น้อยขาดกากใยอาหารพรีไบโอติกหรือไฟเบอร์ (Fiber) อย่างเพียงพอจนส่งผลให้เสี่ยงต่ออาการท้องผูก ซึ่งในปัจจุบันปัญหานี้มีทางแก้ไข เพราะเราสามารถได้รับกากใยอาหารในรูปแบบที่เป็นพรีไบโอติก และลักษณะเป็นผงละลายชงดื่ม โดยรูปแบบของผงไฟเบอร์พรีไบโอติกนี้สะดวกในการดื่ม สามารถชงได้ในน้ำเปล่า หรือน้ำผลไม้ ง่ายต่อการรับประทาน และที่สำคัญให้ปริมาณกากใยอาหารที่ร่างกายต้องการต่อวันอย่างเพียงพอ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการดูแลสุขภาพ คนที่มีปัญหาท้องอืด ท้องเฟ้อเป็นประจำ หรือท้องผูกเรื้อรัง และคนที่มีปัญหาการขับถ่ายไม่เป็นเวลา
ขอบคุณข้อมูลจาก
1. สำนักงานกองทุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส)
2. https://www.pobpad.com