ถ้าคุณกำลังเผชิญกับปัญหาผิวอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ … หน้าเป็นฝ้า มีสิว ผิวหย่อนคล้อยไม่เต่งตึง ริ้วรอยเริ่มถามหา จนหน้าดูแก่กว่าวัย หรือผิวหมองคล้ำไม่สดใส ทำให้ต้องคอยแต่งหน้าปกปิดเพราะรู้สึกไม่มั่นใจในผิวหน้าของตัวเอง พยายามแก้ปัญหามาหลายวิธีแต่ก็ไม่เห็นผล…บทความนี้จาก MEGA We care ขออาสามาแนะนำตัวช่วยดีๆ ที่ผู้ใช้จริงต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ตอบโจทย์กับทุกสภาพผิว และแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด ปัญหาผิวที่คุณกำลังเผชิญอยู่ต้องแก้ไขอย่างไร ตามไปหาคำตอบพร้อมกันได้เลยค่ะ
สนใจหัวข้อไหน...คลิกเลย
เช็กลิสต์ 5 สัญญาณผิวสุขภาพดี คุณมีกี่ข้อ?
5 ปัญหาผิวที่คนส่วนใหญ่ต้องเผชิญ ผิวของคุณมีปัญหาแบบไหน?
การบำรุงผิวจากภายนอกเพียงอย่างเดียว แก้ปัญหาผิวได้จริงหรือ?
ตัวช่วยแก้ปัญหาผิวแบบไหนที่ใช่ และตอบโจทย์คุณ?
เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาผิวของคุณได้อย่างตรงจุด ต้องเริ่มต้นจากการเช็คสุขภาพผิวของคุณกันดูก่อนว่าจะมีระดับคะแนนผิวสุขภาพดีอยู่ที่กี่คะแนนกันนะ?
โดยเราจะให้คะแนนผิวจาก 5 สัญญาณที่บ่งบอกถึงผิวสุขภาพดี ซึ่งแปลว่า หากคุณมี 1 สัญญาณผิวสุขภาพดีตรงตามที่ข้อมูลได้ระบุไว้ คุณจะได้รับ 1 คะแนน แต่หากคุณมี 4 สัญญาณที่บ่งบอกว่าผิวสุขภาพดีตามที่ข้อมูลได้ระบุไว้ ระดับคะแนนผิวสุขภาพดีของคุณก็จะอยู่ที่ 4 คะแนนนั่นเองค่ะ ถ้าเข้าใจแล้วก็เริ่มต้นเช็คลิสต์สุขภาพผิวดีไปพร้อมๆ กันเลย
1. ผิวไร้ริ้วรอย ไม่หย่อนคล้อย : เป็นสัญญาณที่บอกว่ายังมีการผลัดเซลล์ผิวได้ตามอายุ ซึ่งช่วยยืดอายุเซลล์ผิวได้ จึงทำให้ผิวยังดูอ่อนเยาว์นั่นเอง
2. ผิวมีความยืดหยุ่นดี : เป็นสัญญาณที่บอกว่ามีในผิวมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่แข็งแรง
3. ผิวดูเปล่งปลั่งสดใส : เป็นสัญญาณที่บอกว่าบริเวณเซลล์ผิวนั้นมีการอุ้มน้ำได้อย่างเหมาะสม
4. ผิวเต่งตึงแน่นกระชับ : เป็นสัญญาณที่บอกถึงความแข็งแรงภายในของผิว คือ ผิวยังมีความสามารถในการปกป้องตัวเองจากมลภาวะต่างๆ ได้ดี เช่น แสงแดด สารเคมี ซึ่งมีส่วนช่วยป้องกันปัญหาฝ้าได้อีกด้วย
5. ผิวกระจ่างใส ไม่หมองคล้ำ : เป็นสัญญาณที่บอกว่ามีการขับถ่ายของเสียออกจากเซลล์ผิวได้ดี และร่างกายมีการสร้างเม็ดสีฟีโอเมลานินในผิวมีจำนวนที่มากกว่าเม็ดสียูเมลานิน
เมื่อรู้แล้วว่าผิวของคุณมีคะแนนสุขภาพผิวดีอยู่ในระดับใด ต่อไปมาดูกันว่าปัญหาผิวอะไรบ้างที่คุณกำลังเผชิญอยู่? พร้อมหาคำตอบว่าปัญหาผิวเหล่านั้นแท้ที่จริงแล้วมีสาเหตุมาจากอะไร?
เป็นสิว
'สิว' คือ การอักเสบเรื้อรังของผิวหนังภายในรูขุมขนหรือต่อมไขมัน ซึ่งส่วนมากสิวมักจะเกิดบริเวณใบหน้า คอ ลำตัวส่วนบน รวมไปถึงบริเวณแผ่นหลัง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีต่อมไขมันขนาดใหญ่อยู่อย่างหนาแน่น ทั้งนี้ สิว เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยอาจมีปัจจัยอื่นๆ ที่ตัวกระตุ้น สำหรับสาเหตุหลักของการกเกิดสิว ได้แก่
1. ปัจจัยภายใน เป็นปัจจัยที่เกิดจากร่างกายเราเอง เช่น ฮอร์โมน กรรมพันธุ์ หรือ สภาพผิวที่เป็นผิวแพ้ง่าย ผิวมันจนเกิดการอุดตันได้ง่าย เป็นต้น
2. ปัจจัยภายนอก เป็นปัจจัยที่เกิดขึ้นจากนอกร่างกายของเรา เช่น ยาบางชนิด อาการแพ้เครื่องสำอาง สภาพแวดล้อม ความเครียด แสงแดด การรักษาความสะอาด ระบบขับถ่ายที่ผิดปกติ รวมไปถึงอาหารที่กิน ก็มีส่วนทำให้เกิดสิวได้ เช่น กินอาหารที่มีไขมันมากเกินไป กินอาหารหวานเป็นประจำ ขาดวิตามินและแร่ธาตุบางตัว เช่น วิตามินบี และสังกะสี
ผิวหมองคล้ำ
หากคุณเคยสงสัยว่าทำไมสีผิวของแต่ละคนจึงต่างกัน? คำตอบ คือ สาเหตุหลักมาจากพันธุกรรมของแต่ละคน ที่ทำให้องค์ประกอบของเม็ดสีที่ชั้นผิวหนังต่างกัน ส่งผลทำให้มีสีผิวที่แตกต่างกัน โดยเกิดจากเม็ดสีเมลานินนั่นเอง แต่ในบางคนที่มีสีผิวคล้ำอยู่แล้วก็ยังมีโอกาสที่ผิวจะยิ่งดูหมองคล้ำขึ้นได้อีก ขณะที่คนมีผิวขาวแต่ขาดการบำรุงผิวก็สามารถมีปัญหาผิวหมองคล้ำ ผิวไม่กระจ่างใสได้ นั่นเป็นเพราะความแข็งแรงของเซลล์ผิวและความสามารถในการผลิตเม็ดสีเมลานินในร่างกายไม่สมดุล
ทั้งนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เป็นตัวกระตุ้นทำให้สีผิวคล้ำลงได้ เช่น การถูกรังสียูวีจากแสงแดดเป็นเวลานาน มีผลต่อการสร้างเม็ดสีเมลานิน ด้วยกระบวนการทำงานของเอ็มไซม์ไทโรซเนสที่มีอยู่ในร่างกาย โดยเม็ดสีเมลานินแบ่งออกได้เป็น 3 แบบ คือ
ยูเมลานิน (Eumelanin) เม็ดสีน้ำตาล สีดำ พบมากในคนผิวคล้ำ
ฟีโอเมลานิน (Pheomelanin) เม็ดสีแดง เหลือง พบมากในคนผิวขาว
แบบผสม (Mixed melanin) เม็ดสีเมลานินทั้งสองชนิดผสมกัน
หน้าเป็นฝ้า
"ฝ้า" อีกหนึ่งปัญหาผิวพรรณของสาวๆ โดยเฉพาะเมื่ออายุย่างเข้าสู่เลข 3 เพราะความแข็งแรงของเซลล์ผิวลดลง ทำให้ฝ่าเกิดได้ง่ายขึ้น ความจริงแล้วฝ้านั้นสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกส่วนของใบหน้า แต่ส่วนใหญ่มักจะมีฝ้าในบริเวณที่ถูกแดด เช่น หน้าผาก โหนกแก้ม ทำให้หลายคนเกิดความเข้าใจผิดคิดว่าการถูกแสงแดดเป็นปัจจัยหลักของการที่หน้าเป็นฝ้า แต่ความจริงแล้วนั้นแสงแดดเป็นเพียงปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าง่ายขึ้นเท่านั้น เพราะรังสีอัลตราไวโอเลตจะทำให้เซลล์ผิวสร้างเม็ดสีทำงานผิดปกติ และยังทำร้ายผิวให้อ่อนแอลง
ถ้าไม่ใช่แสงแดดแล้วอะไรคือต้นตอที่แท้จริงของการเกิดฝ้า? ผู้เชี่ยวชาญเรื่องผิวได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องฝ้าว่า มีสาเหตุจากเซลล์ผิวที่อ่อนแอและเสื่อมสภาพลง จึงทำให้รังสีต่างๆ จากแสง แสงจากหลอดไฟ สารเคมีต่างๆ สามารถทะลุลึกลงไปถึงชั้นเซลล์ผิวได้ ส่งผลให้เซลล์ผิวและชั้นคอลลาเจนเสียหาย ผิวไม่แข็งแรง จึงทำให้เกิดการผลิตเม็ดสีเมลานินที่มากเกินไปในบางบริเวณของผิวหนัง การกระจายตัวของเม็ดสีไม่สม่ำเสมอ ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นเกิดฝ้ารอยสีน้ำตาลเข้มไปจนถึงเทา
ผิวหย่อนคล้อย ไม่เต่งตึง
เชื่อว่าผู้หญิง 100 ทั้ง 100 คงไม่มีใครอยากดูแก่ มีปัญหาผิวไม่เต่งตึง จนเกิดริ้วรอยก่อนวัยอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามด้วยวิถีชีวิตของคนในสมัยนี้ ที่มักกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ขาดการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม บวกกับอายุเพิ่มมากขึ้น ทำให้โครงสร้างของผิวถูกทำลายไป คอลลาเจนในชั้นผิวลดลง จนทำให้คนจำนวนไม่น้อยมีปัญหาผิว
คำถามต่อมาที่หลายคนสงสัย คือ คอลลาเจนสำคัญอย่างไรกับผิว? ทำไมต้องเติมเต็มคอลลาเจนให้กับผิว? ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวได้อธิบายว่า ร่างกายของเราจะมีโปรตีนคอลลาเจนมากกว่า 1 ใน 3 ของโปรตีนในร่างกาย คอลลาเจนเป็นส่วนประกอบหลักของผิวหนังมากถึง 70% โดยมีส่วนช่วยให้โครงสร้างของผิวแข็งแรง และมีความยืดหยุ่นของผิวหนัง ส่งผลให้ผิวเต่งตึง แน่นกระชับมากขึ้น และดูอ่อนเยาว์ แต่เมื่ออายุเพิ่มขึ้นการผลิตและการสลายตัวของคอลลาเจนจะไม่สมดุลกัน ทำให้เกิดปัญหาผิวตามมา นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงควรเติมเต็มคอลลาเจนให้กับผิวอย่างเพียงพอ
หน้าดูแก่ มีริ้วรอย รอยตีนกา
รู้หรือไม่ว่า... ปัญหาริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย ไม่ได้มีสาเหตุมาจากอายุที่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารอนุมูลอิสระที่มากเกินไป จนทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ ไม่ว่าจะเป็นมลภาวะต่างๆ ที่ต้องพบเจอในแต่ละวัน ทั้งควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ ฝุ่น PM 2.5 รังสี UV ความเครียด การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ การแสดงสีหน้าแสดงอารมณ์มากเกินไป หรือแม้แต่อาหารที่คุณเลือกกิน ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพกาย และยังทำร้ายสุขภาพผิวของคุณอีกด้วย
ผิวหนัง (Skin) เป็นอวัยวะมีพื้นที่มากที่สุดในร่างกายเรา ซึ่งมีหน้าที่คอยควบคุมไม่ให้สูญเสียสารสำคัญออกนอกร่างกาย และในขณะเดียวกันผิวหนังยังมีอีกหนึ่งบทบาทสำคัญ คือ คอยป้องกันไม่ให้สารต่างๆ จากภายนอกเข้าสู่ร่างกาย และแม้ว่าในปัจจุบันนั้นจะมีการค้นคว้าวิจัย ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจากภายนอกเพื่อนำไปสู่การบำรุงอย่างล้ำลึก แต่ก็ยังทำได้อย่างมีขีดจำกัด เนื่องจากคุณสมบัติพิเศษของผิวหนังของแต่ละคน สภาพผิวที่แตกต่างกันออกไป ครีมบำรุงผิวที่ใช้ดีกับคนคนหนึ่ง แต่กับคนอีกคนหนึ่งอาจใช้แล้วไม่เห็นผล หรือร้ายที่สุดอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ ดังนั้นผลิตภัณฑ์ประทินผิวจากภายนอกจึงมีคุณค่าอย่างชัดเจนในเรื่องการปกป้องจากแสงแดด เพิ่มความชุ่มชื้น ช่วยทำให้ผิวนุ่มนวลน่าสัมผัส โดยบำรุงได้แค่เซลล์ผิวชั้นที่ตายแล้วหรือชั้นนอกสุดเท่านั้น ยังไม่สามารถเข้าไปบำรุงลึกถึงผิวชั้นในได้
ด้วยเหตุนี้ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้บำรุงผิวจากภายในควบคู่ไปกับการบำรุงผิวจากภายนอกด้วย ด้วยคุณลักษณะพิเศษของผิว แนวคิดการบำรุงผิวจากภายใน จึงเป็นที่ยอมรับและนิยมใช้มากขึ้นเพราะมีคุณค่าในการบำรุงผิวอย่างแท้จริงเพราะเซลล์ผิวหนังชั้นในเป็นเซลล์ยังมีชีวิต ซึ่งได้แก่ คอลลาเจนอิลาสติน เซลล์ที่สร้างเม็ดสี เส้นเลือดฝอย เป็นต้น ซึ่งเซลล์เหล่านั้นจำเป็นต้องการอาหารผิวจากภายใน เพื่อการบำรุงที่ล้ำลึกเพื่อให้ได้ลักษณะผิวสุขภาพดี ผิวขาว เนียนใส เปล่งปลั่ง เต่งตึง กระชับไม่มีความหมองคล้ำ
เนื่องจากสิวเกิดขึ้นได้ทั้งจากสาเหตุ ทั้งจากภายในที่ควบคุมได้ยาก และมีปัจจัยภายนอกต่างๆ เป็นตัวกระตุ้น เพื่อแก้ปัญหาสิว ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้หมั่นสังเกตพฤติกรรมต่างๆ ของคุณเอง และปรับเปลี่ยนบางพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดสิว เช่น หากสิวเกิดจากความเครียด ควรหาเวลาทำกิจกรรม เพื่อผ่อนคลายความเครียด หากสิวเกิดอาหารที่กิน ควรเลือกควรกินอาหารที่มีประโยชน์เพิ่มมากขึ้น เช่น ผักและผลไม้มากขึ้น รวมทั้งดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว รวมถึงหลีกเลี่ยงอาหารประเภทที่มีไขมันสูง เช่น เค้ก นม เนย คุกกี้ กะทิ อาหารทอด เป็นต้น นอกจากนี้การรักษาความสะอาดก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยชะล้างสิ่งสกปรกที่อาจจะสะสมอยู่ที่รูขุมขนได้
สำหรับอีกหนึ่งตัวช่วยที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำเพื่อแก้ไขปัญหาและป้องกันการเกิด ช่วยลดการอักเสบของสิว ลดรอยดำ รอยแผลเป็นจากสิว รวมทั้งการป้องกันกลับมาเป็นซ้ำ และควบคุมความมันอันเป็นสาเหตุของการเกิดสิว คือ การเลือกใช้เจลแต้มสิว สูตรที่มีการวิจัยรับรองมาตรฐาน มีส่วนผสมจากธรรมชาติเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือการระคายเคือง ควบคู่ไปกับการบำรุงผิวและแก้ปัญหาผิวจากภายในด้วยสารอาหารที่แก้ปัญหาสิวจากภายใน เช่น แร่ธาตุสังกะสี (Zinc) เนื่องจากมีการศึกษาและวิจัยแล้วว่าแร่ธาตุสังกะสีนั้น มีบทบาทในการต้านสิวได้ และจะยิ่งให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นหากกินควบคู่กับสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินซี วิตามินอี เบต้าแคโรทีน และโครเมี่ยม หรือในปัจจุบันมีในรูปแบบ สูตรรวมสารอาหารสูตรลิขสิทธิ์ APC Complexเป็นต้น (คลิกอ่านข้อมูลเพิ่มเติม)
เพื่อแก้ปัญหาเรื่องผิวหมองคล้ำ และช่วยให้มีผิวขาวกระจ่างใสมากขึ้น ในปัจจุบันมีตัวช่วยที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย อย่างเช่น กลูตาไธโอน ซึ่งมีบทบาทต่อการสร้างเม็ดสีผิว ทำให้ผิวขาวขึ้นได้ ซึ่งมีหลายรูปแบบ แต่อย่างไรก็ตามควรระมัดระวังในการใช้กลูต้าไธโอน เพราะหากเลือกใช้รูปแบบที่ไม่เหมาะสม นอกจากจะไม่ช่วยให้ขาวขึ้นแล้ว ยังอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้
สำหรับใครที่สงสัยว่า กลูต้าไธโอน (Glutathione) คืออะไร? ช่วยให้ผิวขาวใสขึ้นได้อย่างไร? ใช้อย่างไรให้ปลอดภัยและเห็นผล? คำตอบคือ กลูต้าไธโอน เป็นสารที่มีบทบาทในการสังเคราะห์เม็ดสีผิว ร่างกายสามารถผลิตได้เอง โดยมีการทำงานกดการสร้างเม็ดสียูเมลานิน หรือเม็ดสีผิวคล้ำ ให้มีการสร้างลดลงมีหลายงานวิจัยที่พบว่า อย่างไรก็ตามสารกลูต้าไธโอน ในรูปแบบรับประทานที่พบกันทั่วไปนั้น ไม่สามารถถูกดูดซึมจากกระเพาะอาหารได้ เพราะจะถูกย่อยสลายและขับออกทางลำไส้ ดังนั้นการกินกลูต้าไธโอนจึงไม่ได้รับประโยชน์เลย ส่วนการฉีดนั้นหากได้รับปริมาณมากส่งผลเกิดอันตรายต่อชีวิตได้เช่นกัน แล้วจะทำอย่างไรให้ขาวได้อย่างปลอดภัย?
ทางเลือกใหม่สำหรับผู้ที่อยากมีผิวขาวใสจึงเป็นการเติมเต็มสารอาหารที่จำเป็น เพื่อให้ร่างกายสังเคราะห์กลูต้าไธโอนขึ้นได้เองคล้ายคลึงกับธรรมชาติ โดย มี 3 สารอาหารหลัก คือ
1. L-Cysteine (แอล-ซีสเทอีน) ตัวช่วยกระตุ้นการสร้างกูลต้าไธโอนในร่างกาย ต่อต้านอนุมูลอิสระโดยแอล-ซีสเทอีน กระตุ้นการสร้างเม็ดสีฟีโอเมลานินให้เพิ่มขึ้นทำให้ผิวดูขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งยังช่วยยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ไทซิเนส ซึ่งมีผลทำให้สร้างเม็ดสีน้อยลง
2. Amla extract (สารสกัดมะขามป้อม) เป็นแหล่งที่อุดมด้วยวิตามินซีสูงมากกว่าผลไม้หลายชนิด ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีถึงคุณค่าของวิตามินซีที่มีต่อผิว มีบทบาทเป็นสารต้านอนุมุลอิสระที่ให้ฤทธิ์ที่แรงอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน โดยยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ไทโรซิเนส และเสริมประสิทิธิภาพการทำงานของแอล-ซีสเทอีน จึงช่วยรักษาปริมาณกลูต้าไธโอนในร่างกาย
3. Grape seed extract (สารสกัดเมล็ดองุ่น) มีสาระสำคัญที่ชื่อ โอลิโกเมอริค โปรแอนโธไซยานิน (oligomeric proanthocyanidin) หรือ OPC ซึ่งเป็นกลุ่มไบโอฟลาโวนอยด์ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง มีบทบาทช่วยยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) ยับยั้งการเกิดเม็ดสีเมลานิน จึงลดปริมาณของเม็ดสีเมลานินได้ นอกจากนี้ยังช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดหรือ รังสียูวีได้อีกด้วย (คลิกอ่านข้อมูลเพิ่มเติม)
"ฝ้า" ปัญหาผิวที่แก้ยาก แต่ใช่ว่าจะแก้ไม่ได้ เพียงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดฝ้า เช่น เลี่ยงการออกแดดนานๆ ไม่อยู่ในที่ที่มีแสงสว่างจ้า ไม่ว่าจะเป็นแสงจากหลอดไฟ แสงจากหน้าจอทีวี แสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ แสงจากจอสาร์ทโฟน รวมทั้งต้องหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีกับผิว ทั้งจากเครื่องสำอาง หรือครีมบำรุงผิวที่ทำให้ผิวยิ่งบางลง
ที่สำคัญอย่าลืมดูแลผิวให้แข็งแรงจากภายใน ด้วยสารอาหารจากธรรมชาติที่มีบทบาทต่อการ ‘ฟื้นฟูและปรับสมดุลเม็ดสี’ ได้แก่
1. สารสกัดจากเปลือกสนมาริไทม์ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เสริมสร้างความแข็งแรงของเซลล์ผิว ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดและเส้นเลือดฝอยใต้ชั้นผิว ที่สำคัญคือมีส่วนช่วยปรับสมดุลการทำงานของเซลล์ผิวสร้างเม็ดสีเป็นปกติ ช่วยลดการสร้างเม็ดสีที่ผิดปกติ มีการศึกษาหลากหลายงานวิจัย พบว่า การได้รับสารสกัดเปลือกสน วันละ 75 มก.ขึ้นไป ต่อเนื่อง 8 สัปดาห์ พบว่า พื้นที่ของฝ้าลดลง ความเข้มลดลง
2. วิตามินซีและวิตามินอี ที่ช่วยชะลอความเสื่อมและเสริมความแข็งแรงของเซลล์ผิว ด้วยการช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเส้นเลือดฝอย นำพาเลือดไปเลี้ยงเซลล์ผิวได้ทั่วถึง
3. สารสกัดจากข้าว ที่ช่วยอุ้มน้ำ เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวเต่งตึง มีน้ำมีนวล และปรับสมดุลโครงสร้างของเซลล์ผิว
4. สารสกัดจากสาหร่ายดีซาลีน่า ซึ่งอุดมไปด้วยสารกลุ่มคาร์โรทีนนอยด์และเบต้าแคโรทีน ช่วยให้ผิวแข็งแรง ทนต่อแสงแดดมากขึ้นและยังช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของสารสกัดจากเปลือกสนมาริไทม์ฝรั่งเศส
5. สารสกัดจากมะเขือเทศ ซึ่งอุดมไปด้วยสารไลโคพีน ช่วยป้องกันผิวจากการถูกทำลายของรังสี UVA และ UVB และช่วยให้ผิวแข็งแรง ทนต่อแสงแดดมากขึ้น (คลิกอ่านข้อมูลเพิ่มเติม)
เพื่อชะลอความชราให้กับผิว อยากมีผิวเต่งตึง ไม่หย่อนคล้อย หลายคนเลือกวิธีการฉีดฟิลเลอร์ การนวดยกกระชับผิว รวมไปถึงการทาครีมบำรุง ชนิดที่ว่าใครว่าอะไรดีก็ลองให้หมดทุกอย่าง แต่การบำรุงผิวจากภายนอกเพียงอย่างเดียวนั้นอาจไม่เพียงพอ หรือเห็นผลได้ในระยะสั้นเท่านั้น ต้องฉีด เสริม เติมอยู่ตลอด อีกทางเลือกที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำจึงเป็นการบำรุงจากภายในควบคู่กันไปด้วย คือ กินอาหารที่มีประโยชน์ในปริมาณที่เพียงพอ พร้อมๆไปกับเสริมด้วยสารสกัดจากธรรมชาติที่ดีต่อผิวที่หลายคนรู้จักกันดี ไม่ว่าจะเป็นวิตามินซี วิตามินอี เมล็ดองุ่นเป็นต้น นอกจากนี้การเติมเต็มคอลลาเจนให้กับผิวนั้น เป็นอีกหนึ่งอย่างที่หลายคนเคยได้รับรู้มาว่าช่วยดูแลผิว ปกป้องริ้วรอย หน้าหย่อนคล้อยได้ ซึ่งการเติมคอลลาเจนให้กับผิวนั้น อาจได้จากโปรตีนปลาทะเล คอลลาเจนไฮโดรไลเซต เป็นต้น และควรเลือกในรูปแบบที่เหมาะสมกับผิว (รู้จักคอลลาเจนมากขึ้น คลิกอ่านข้อมูลเพิ่มเติม)
สำหรับบางคนที่ยังไม่มีปัญหาริ้วรอย หน้าหย่อนคล้อย แต่ยังอยากที่จะมีผิวที่ดีดูเด็กและคงความอ่อนเยาว์ให้กับผิว ไม่อยากที่จะแก้ปัญหาเฉพาะจุดของผิว ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้หมั่นดูแลผิวอย่างต่อเนื่องทั้งภายนอกและภายใน โดยเฉพาะภายในนั้นการเริ่มต้นที่ง่ายที่สุดคือ การกินผักผลไม้เยอะๆ เพราะมีกลุ่มสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้หลากหลายชนิด ที่ช่วยปกป้องผิวได้อย่างดี หรือในปัจจุบันเพื่อความสะดวกมากขึ้นนั้น มีสูตรสารอาหารรวมวิตามินพื้นฐานที่ช่วยดูแลผิวได้ เพราะ มีความหลากหลายชนิด ทั้งโปรตีน คอลลาเจน รวมถึงวิตามินต่างๆ มากมาย เรียกว่าหลากหลายอย่างที่ช่วยดูแลปกป้องผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง ด้วยการบำรุงแบบ 2 ต่อ คลิกอ่านเพิ่ม)
ใครว่าริ้วรอยแห่งวัยไม่สามารถชะลอได้…คุณคิดผิด! อยากยืดเวลาให้กับผิว อยากชะลอวัยให้หน้าดูอ่อนเยาว์ ริ้วรอยจางลง ต้องเริ่มต้นดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ ด้วยวิธีต้านริ้วรอยอย่างได้ผลแบบไม่ต้องเจ็บตัว ด้วย แอสต้าแซนธิน สารอาหารที่ถูกขนานนามให้เป็นสุดยอดของสารต้านแก่ “King of Antioxdant” เพราะ จัดอยู่ในกลุ่มของแคโรทีนอยด์ ที่สามารถแทรกซึมเข้าสู่ทุกเซลล์ของร่างกายทั้งที่ละลายได้ในน้ำและไขมัน จึงมีประสิทธิภาพสูงในการต่อต้านอนุมูลอิสระ และเหนือกว่าสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ ปกป้องเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย รวมทั้งเซลล์ผิว ช่วยยืดอายุเซลล์ผิวให้มีความแข็งแรงอยู่เสมอ ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นที่ดี ผิวมีการเต่งตึง เสมือนผิวหน้าเด็กที่ยังคงดูเต่งตึง ไร้ริ้วรอย และแก้ปัญหาผิวเหี่ยวย่นได้นั่นเอง ที่สำคัญคือให้ผลลัพธ์ดีกว่าการทาครีมบำรุงทั่วไปที่ดูแลได้แค่ผิวชั้นนอกเท่านั้น การเสริมสารแอสต้าแซนธินให้กับผิวนั้นเปรียบเสมือนการได้โบท็อก แต่ปลอดภัยกว่าเพราะไม่มีผลข้างเคียง ที่สำคัญยังเป็นที่ยอมรับกันในวงการแพทย์ของศาสตร์การชะลอวัยอีกด้วย (คลิกอ่านข้อมูลเพิ่มเติม)
ด้วยความห่วงใยจาก_ MEGA We care