การขับถ่ายเป็นสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญโดยเฉพาะการขับถ่ายของเสียควรฝึกให้เป็นนิสัย เพื่อสร้างความสมดุลให้กับร่างกาย ซึ่งในทางการแพทย์ การขับถ่ายที่ปกติ หมายถึง การถ่ายท้องตั้งแต่ 3 วันต่อครั้ง ไปจนถึง 3 ครั้งต่อวัน แต่น่าเสียดายที่ข้อมูลข้างต้นดูจะปฏิบัติตามได้ยากมากขึ้น ในยุคที่ผู้คนเร่งรีบ จนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง รวมทั้งพฤติกรรมการบริโภคอาหารตามใจปาก หรือรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ระบบขับถ่ายเกิดความแปรปรวน และความผิดปกติตามมา โดยเฉพาะอาการท้องเสีย (Diarrhea) และท้องผูก (Constipation) ปัญหาการขับถ่ายที่พบได้บ่อยในคนไทย ซึ่งหากปล่อยเรื้อรังอาจลุกลามไปสู่ปัญหาสุขภาพด้านอื่นๆ และกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว
สนใจหัวข้อไหน...คลิกเลย
ท้องเสีย (Diarrhea) ท้องผูก (Constipation) อาการเป็นอย่างไร ?
ปัญหาท้องเสีย (Diarrhea) และท้องผูก (Constipation) แก้ไขได้ด้วยสารอาหารจากธรรมชาติ
หากการขับถ่ายทำให้รู้สึกทรมาน เพราะต้องนั่งในห้องน้ำเป็นระยะเวลาเพื่อเบ่งถ่าย ต้องใช้แรงเบ่งมาก อุจจาระได้น้อย อุจจาระมีลักษณะก้อนแข็ง ขับถ่ายไม่สุดเหมือนมีอะไรมาอุดกั้น รู้สึกอึดอัดแน่นท้อง ทั้งหมดนี่อาจเป็นสัญญาณเตือนของอาการ ท้องผูก (Constipation) โดยสาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมการกินอาหารที่ขาดการบริโภค ผักและผลไม้ ดื่มน้ำน้อย รวมทั้งพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกต้อง เช่น การกลั้นอุจาระเป็นประจำ ไม่ค่อยออกกำลังกาย หรือไม่ค่อยเคลื่อนไหวร่างกาย เป็นต้น
ซึ่งหากมีอาการท้องผูกติดต่อกันนานกว่า 3 เดือน อาจกลายเป็นอาการท้องผูกเรื้อรัง จุดเริ่มต้นของ โรคริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids) และมะเร็งลำไส้ในอนาคตได้
ส่วนอาการ ท้องเสีย (Diarrhea) หรืออุจจาระร่วงเฉียบพลัน เป็นอาการถ่ายอุจจาระเหลว หรือเป็นน้ำ นานติดต่อกันสามครั้งต่อวันขึ้นไป และอาจมีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ ปวดบิด และท้องอืด ร่วมด้วย ซึ่งกว่า 90 % ของอาการท้องเสียมีสาเหตุจากการติดเชื้อไม่ว่าจะเป็น เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และปาราสิต ซึ่งเชื้อเหล่านี้มักปนเปื้อนในอาหาร และน้ำดื่ม นอกจากนี้อาการท้องเสียอาจเกิดได้จากสาเหตุอื่น เช่น ผลข้างเคียงจากยา โรคบางชนิด เช่น โรคลำไส้แปรปรวน (IBS) และความเครียด เป็นต้น
ถึงแม้อาการท้องเสียจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ก็ทำให้เสียการเสียงานและกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอยู่ไม่น้อย ยิ่งหากเกิดท้องเสียระหว่างการเดินทาง ท่ามกลางรถติด จากปัญหาท้องเสียธรรมดาอาจกลายเป็นอุปสรรคสำคัญของวันได้
อย่างไรก็ตามทั้งท้องเสียและท้องผูกเป็นอาการที่สามารถป้องกันและแก้ไขได้ เพราะมีสาเหตุจากพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นหากเรารู้จักสุขอนามัยในการกินและเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต พร้อมเรียนรู้วิธีการดูแลตัวเองเบื้องต้นเมื่อมีอาการเพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้การขับถ่ายกลับมาปกติได้ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งยาเพราะการกินยาพร่ำเพรื่อ และไม่ถูกวิธีอาจทำให้เกิดภาวะลำไส้ติดยา หรือดื้อยา ส่งผลให้การรักษาในครั้งต่อไปเป็นเรื่องยาก
ซึ่งในปัจจุบันมี 2 ตัวช่วยจากธรรมชาติอย่าง โปรไบโอติกส์ (Probiotics) และพรีไบโอติกส์ (Prebiotics) ทางเลือกที่ผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่าสามารถแก้ปัญหาท้องเสีย และท้องผูกได้จริง ทั้งยังมีความความปลอดภัยสูง และรับประทานได้ในระยะยาวโดยไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย
เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่อาศัยอยู่ในระบบทางเดินอาหาร และระบบต่าง ๆของร่างกาย มีคุณสมบัติทนต่อกรดและด่าง สามารถจับที่บริเวณผิวของเยื่อบุลำไส้แล้วผลิตสารที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค ส่งเสริมการดูดซึมสารอาหารในลำไส้ ซึ่งการมีโปรไบโอติกส์ (Probiotics) ที่เพียงพอจะช่วยให้ระบบในร่างกายทำงานเป็นปกติ โดยเฉพาะระบบทางเดินอาหาร และมีส่วนช่วยกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันเข้าสู่ภาวะสมดุล
โดยที่ผ่านมา โปรไบโอติกส์ (Probiotics) ได้ถูกนำมาใช้ป้องกันและแก้ไขอาการท้องผูก โดยการทำงานของ โปรไบโอติกส์ กลุ่มบิฟิโดแบคทีเรีย (Bifidobacteria) ที่จะกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทำให้สามารถขับถ่ายได้สะดวกมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยรักษาอาการลําไส้อักเสบเรื้อรังได้อีกด้วย เพราะ โปรไบโอติก (Probiotic) กลุ่มแลคโตบาซิลลัส จะช่วยปรับสภาพของระบบทางเดินอาหารและลำไส้ให้กลับสู่ภาวะปกติ
อีกทั้งยังมีโปรไบโอติกส์สายพันธุ์เฉพาะอย่าง แล็กโทบาซิลลัส แอซิโดฟิลัส LA - 5 และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส BB -12 ที่สามารถยึดเกาะและเจริญเติบโตแบ่งตัวได้ดีในผนังลำไส้ จึงช่วยปรับสมดุลทางเดินอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ท้องผูกเรื้อรัง ท้องอืด มีลมในท้อง หรือเป็นลำไส้แปรปรวน (IBS)
และในปัจจุบันยังมีงานวิจัยหลายชิ้นที่กล่าวถึง โปรไบโอติกส์ กลุ่มแซคาโรไมซิส (Saccharomyces boulardii) หรือที่รู้จักกันในนาม โปรไบโอติกส์ ยีสต์ (Probiotic Yeast) ที่มีคุณสมบัติเฉพาะในการรักษาอาการท้องเสียเฉียบพลัน และสามารถป้องกันการเกิดท้องเสียระหว่างเดินทาง (Traveler’s diarrhea prevention) ซึ่งโปรไบโอติกส์ ยีสต์ จะทำหน้าที่ต่อต้านจุลินทรีย์ร้ายที่เป็นสาเหตุของอาการท้องเสียช่วยให้ลำไส้ต่อสู้กับเชื้อโรค หรือลดการอักเสบและความเสียหายต่อลำไส้
ในขณะเดียวกันโปรไบโอติกส์ก็ยังมีบทบาทสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นด่านแรกที่ช่วยต่อต้านสิ่งแปลกปลอมจากภายนอกร่างกาย ซึ่งมีข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่า การทานโปรไบโอติกส์ที่เป็นสายพันธ์เฉพาะที่มีการศึกษาเกี่ยวข้องกับระบบภูมิต้านทาน เช่น แล็กโทบาซิลลัส แอซิโดฟิลัส NCFM หรือ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส BL-04 อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 30 วัน จะช่วยลดอาการและความรุนแรงของโรคภูมิแพ้ได้
ใยอาหารที่จะไม่ถูกย่อยในกระเพาะอาหาร แต่จะมีคุณสมบัติเป็นอาหารของจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ดีเหล่านี้ เช่น แลคโตบาซิลลัส และบิฟิโดแบคทีเรีย และช่วยปรับสมดุลความเป็นกรดในทางเดินอาหารให้ลดลง ส่งผลดีต่อการที่จุลินทรีย์ที่ดีเหล่านี้ในการสร้างสารต่างๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น สารภูมิต้านทาน เป็นต้น
ซึ่งการได้รับพรีไบโอติกส์ (Prebiotics) หรือกากใยอาหาร ในปริมาณที่เพียงพอจะทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้อย่างเป็นปกติ ช่วยบรรเทาอาการท้องผูก ทำให้อุจจาระมีกากใย และนิ่มสะดวกต่อการขับถ่าย ลดความเสี่ยงต่อการเกิด โรคริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids) และยังช่วยเพิ่มจำนวนของจุลินทรีย์ชนิดดี เพื่อยับยั้งจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค ลดโอกาสการติดเชื้อ ป้องกันอาการท้องเสียที่เกิดจากการติดเชื้อในทางเดินอาหารได้อีกด้วย
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า โปรไบโอติกส์ (Probiotics) เป็นจุลินทรีย์ที่เป็นมิตรต่อร่างกาย โดยเฉพาะกับระบบทางเดินอาหาร และมีพรีไบโอติกส์ (Prebiotics) เป็นอาหารของจุลินทรีย์เหล่านี้ให้ทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งร่างกายคนเราจำเป็นต้องมีทั้งโปรไบโอติกส์ และพรีไบโอติกส์ อย่างเพียงพอถึงจะส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกาย ช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร บรรเทาอาการท้องเสีย แก้อาการท้องผูก และช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติและสมบูรณ์
ขอบคุณข้อมูลจาก:
https://www.pobpad.com/%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2
https://www.bumrungrad.com/th/health-blog/may-2019/constipation-treatment