เทรนด์สุขภาพประจำเดือนสิงหาคม 2565

เทรนด์สุขภาพประจำเดือนสิงหาคม 2565

5 พฤติกรรมที่ทำแล้วภูมิคุ้มกันตก

     คุณเคยสังเกตตัวเองหรือไม่...ช่วงนี้เป็นหวัด ไม่สบายอยู่บ่อยๆ ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น เหนื่อยง่าย กินอะไรก็ท้องเสีย อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณที่กำลังจะบอกว่า ‘ภูมิคุ้มกันในร่างกายตก’ หากคุณมีพฤติกรรมดังต่อไปนี้ แนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทันที เพื่อเป็นการป้องกันภูมิคุ้มกันตก

1. นอนหลับ พักผ่อนไม่เพียงพอ

     ขณะนอนหลับร่างกายจะฟื้นฟูและซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ ในส่วนที่สึกหรอ รวมทั้งเซลล์ของระบบภูมิคุ้มกัน แต่หากร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ หรืออดนอนเป็นประจำจะส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง ทำให้ร่างกายอ่อนแอ และเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น

2. ความเครียด

     ความเครียด กระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระในร่างกายมากขึ้น เมื่อมีความเครียดร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมามากผิดปกติ เป็นผลทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของเม็ดเลือดขาว และระบบภูมิคุ้มกันลดลงตามไปด้วย

3. ดื่มน้ำน้อย

     60% ของน้ำหนักตัวคนเราประกอบไปด้วยน้ำ การดื่มน้ำเป็นสิ่งจำเป็นในการช่วยให้ร่างกาย มีการหมุนเวียนโลหิต และขับของเสียได้ดีขึ้น หากดื่มน้ำไม่เพียงพอจะทำให้ของเสียสะสมอยู่ในร่างกาย และทำให้ระบบหมุนเวียนโลหิตผิดปกติ ส่งผลกระทบต่อระดับออกซิเจนในเลือดน้อยลง ทำให้ออกซิเจนไม่สามารถลำเลียงไปตามเซลล์ อวัยวะ และระบบต่างๆ ในร่างกายได้ ซึ่งรวมไปถึงระบบภูมิคุ้มกันประสิทธิภาพในการทำงานก็ลดลงไปด้วย

4. สูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป

     มีผลวิจัยที่น่าเชื่อถือระบุว่า การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์และส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง เนื่องจากสารเคมีในบุหรี่เป็นสารอนุมูลอิสระที่ทำลายเซลล์ปอด และสารอาหารที่จำเป็นภายในร่างกาย  

     ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ทำให้อวัยวะสำคัญ เช่น ปอด ตับ รวมทั้งลำไส้เสื่อมสภาพ และทำงานผิดปกติ และหากดื่มในปริมาณมากและเป็นเวลาติดต่อกันนานๆ แอลกอฮอล์ในเครื่องดื่มประเภทนี้จะเข้าไปทำลายภูมิคุ้มกันให้น้อยลง

5. ไม่ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์

     การกินอาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันเช่นกัน โดยเฉพาะอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง พฤติกรรมนี้จะทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารและวิตามินที่จำเป็นในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ซ้ำร้ายยังทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ไม่ครบถ้วนอีกด้วย

รู้หรือไม่...วิตามินดีสามารถช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันได้

     นอกเหนือจากวิตามินดีจะช่วยดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสเพื่อบำรุงกระดูกให้แข็งแรง และช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ งานวิจัยและข้อมูลที่เผยแพร่ในวารสารทางการแพทย์ในต่างประเทศหลายฉบับ ระบุว่าการที่ร่างกายมีระดับวิตามินดีที่เพียงพอส่งผลดีต่อสุขภาพ เพราะสามารถช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกัน และป้องกันโรคระบบทางเดินหายใจได้

     ยิ่งในช่วงการระบาดของเชื้อ Covid19 วิตามินดีได้รับการพูดถึงมากขึ้นจากคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญที่ว่าด้วยเรื่องวิตามินดี สามารถช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และต่อต้านเชื้อไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถลดความรุนแรงเมื่อติดเชื้อได้

     เนื่องจากวิตามินดีจะไปช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้เป็นปกติ และช่วยลดสารอักเสบทำให้เมื่อติดเชื้ออาการจะไม่รุนแรง นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันและลดความเสี่ยง รวมทั้งต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย และไวรัสได้ดี  

     จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข พบว่ากลุ่มคนที่ติดเชื้อโควิด-19 82% มีภาวะขาดวิตามินดี และคนที่ติดเชื้อโควิด -19 ซึ่งมีระดับวิตามินดีต่ำกว่าปกติ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจมากกว่าคนที่ติดเชื้อแต่มีระดับวิตามินดีปกติถึง 6 เท่า  อีกทั้งคนที่ขาดวิตามินดียังมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าถึง 15 เท่า

     ส่วนการได้รับวิตามินดี ร่างกายสามารถได้รับจากแสงแดดและอาหารในแต่ละวัน แต่ในปัจจุบันคนส่วนใหญ่มีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงแสงแดด ทำงานในที่ร่ม และการเลือกกินอาหารในแต่ละมื้อที่ไม่ได้คำนึงถึงสารอาหารและวิตามินที่ได้รับ จึงทำให้ร่างกายไม่สามารถได้รับวิตามินดีจากแสงแดดและอาหารที่กินอย่างเพียงพอ โดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้มีการศึกษาระดับวิตามินดีในเลือดของคนไทย พบว่าเกือบ 50% ของจำนวนประชากรมีวิตามินดีในร่างกายไม่เพียงพอ โดยเฉพาะคนทำงานที่อยู่ในร่มหรือตึกสูง รวมทั้งผู้สูงอายุ

     การดูแลและป้องกันภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงอยู่เสมอ จึงต้องเริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ทำให้ภูมิคุ้มกันตก  โดยหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย หากมีเวลาว่างลองมาออกกำลังกายกลางแจ้งในยามเช้า เช่น การเดิน วิ่ง หรือปั่นจักรยานที่สวนสาธารณะ เพื่อให้ร่างกายได้รับแสงแดดวันละ 15 นาที ก็สามารถช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินดีได้  ซึ่งการสังเคราะห์วิตามินดีจากแสงแดด ร่างกายจะได้วิตามินดี 3 ที่สามารถนำไปใช้ได้ตามธรรมชาติ หรืออาจได้รับวิตามินดี 3 จากแหล่งอาหารที่มีวิตามินดีสูง เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ไข่ นม เห็ด และธัญพืชต่างๆ

     แต่ถ้ายังมีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงแสงแดด และไม่ใส่ใจการดูแลเรื่องอาหารการกิน  การเสริมวิตามินดีในรูปแบบอาหารเสริมให้เพียงพอก็สามารถใช้เป็นทางเลือกได้ วิตามินดีจำเป็นกับร่างกายมาก นอกจากจะช่วยเรื่องสุขภาพแล้ว ยังเป็นผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย  สำหรับผู้ใหญ่แนะนำให้เสริมวันละ 5000 IU

 

ขอบคุณข้อมูลจาก  :

กรมสุขภาพจิต
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
โรงพยาบาลธนบุรีบำรุงเมือง
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
Vitamin D council , USA สถาบันวิตามินดีสหรัฐอเมริกา
https://mgronline.com/goodhealth/detail/9650000031375
https://mgronline.com/qol/detail/9640000076108

 

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้