“เช้าแดดออก บ่ายฝนตก เย็นต้องเจอกับลมหนาว” ข้อความที่คุณอ่านไปไม่ใช่การพยากรณ์ แต่เป็นสภาพอากาศจริงที่กำลังเจออยู่ในปัจจุบัน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ฉับพลันทำให้ร่างกายไม่สามารถที่จะปรับตัวได้ทัน ภูมิคุ้มกันลดต่ำลง จึงเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยได้ง่าย โดยเฉพาะอาการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ ซึ่งหากปล่อยเรื้อรังจนมีอาการรุนแรงอาจนำไปสู่การติดเชื้อทางเดินหายใจได้
ดังนั้นในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยการดูแลสุขภาพของระบบทางเดินหายใจจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลย
“โพรงจมูก” และ“ลำคอ” ถือเป็นอวัยวะด่านแรกที่ต้องเจอกับสิ่งแปลกปลอม สารก่อภูมิแพ้ รวมไปถึงเชื้อโรค เชื้อไวรัส หรือแม้กระทั้งสภาพอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาก็ทำให้ระบบทางเดินหายใจได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน ยิ่งโดยเฉพาะในช่วง “ปลายฝน ต้นหนาว” หรือช่วงคาบเกี่ยวระหว่างฤดูฝนและฤดูหนาวที่สภาพอากาศชื้น ส่งผลให้เชื้อโรคเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และฟุ้งกระจายในอากาศ เมื่อเกิดการสูดดมหรือหายใจเข้าไป จะเกิดการสะสมในระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะบริเวณลำคอและโพรงจมูก จนเกิดการต่อต้าน และก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา ซึ่งหากปล่อยเรื้อรังอาจลุกลามจนกลายเป็นกลุ่มโรคในระบบทางเดินหายใจได้ในที่สุด โดยปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยมี ดังนี้
1.น้ำมูกไหล เป็นกลไกการป้องกันและกำจัดสิ่งแปลกปลอม เช่น เชื้อโรค ฝุ่นควันรวมถึง PM2.5 ละอองเกสรดอกไม้ และสารเคมีต่างๆ ที่ก่อให้เกิดการระคายและอักเสบในระบบทางเดินหายใจ โดยร่างกายจะผลิตของเหลวภายในโพรงจมูกเพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอมนั้นออกจากร่ายกาย
2.เจ็บคอ เป็นอาการที่รู้สึกเจ็บหรือรู้สึกระคายเคืองในลำคอ และรู้สึกเจ็บคอมากขึ้นเวลากลืน เนื่องจากมีการอักเสบบริเวณช่องคอ เช่น เนื้อเยื่อช่องคอ ต่อมทอนซิล เพดานอ่อน โคนลิ้น กล่องเสียงเป็นต้น สาเหตุอาจเกิดได้จากการอักเสบทั้งที่ติดเชื้อ และไม่ติดเชื้อ นอกจากนี้ส่วนใหญ่ยังมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คอแห้ง เสียงแหบ เป็นต้น
3.อาการไอ เป็นอาการที่แสดงออกว่าร่างกายกำลังป้องกัน หรือกำลังตอบสนองการกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย เช่น ฝุ่น ควัน เกสรดอกไม้ หรือสิ่งที่ทำให้เกิดอาการแพ้เหล่านั้นไปทำให้ระบบทางเดินหายใจเกิดการระคายเคืองจนเกิดอาการไอ ซึ่งสามารถแบ่งอาการไอออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่
ไอแห้ง : จะมีอาการคัน ระคายเคืองภายในลำคอ และไม่มีสารคัดหลั่งอื่นๆหรือเสมหะออกมาก
ไอมีเสมหะ : จะมีของเหลวหรือเมือกเหนียวออกมา โดยของเหลวนี้จะเรียกว่า เสมหะ ซึ่งเกิดจากร่างกายสร้างออกมาเพื่อช่วยกำจัดสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่ติดเข้าไปในระบบทางเดินหายใจ
นอกจากนี้ในผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้อากาศเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อเยื่อบุโพรงจมูกได้สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้บวกกับอากาศที่เปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดการระคายเคืองส่งผลให้โพรงจมูกอักเสบ จนมีอาการน้ำมูกไหล จาม และคัดจมูก หากมีอาการมากจนหายใจติดขัดทางจมูกจนต้องอ้าปากหายใจ มีเสมหะไหลลงคอ กระแอมบ่อยเพราะมีเสมหะติดคอ และบางครั้งอาจมีอาการคันตา มีอาการเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ มักเป็นในช่วงเช้าและกลางคืน
ดังนั้นการเตรียมตัวรับมือในช่วงสภาพอากาศแปรปรวนจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อจะช่วยดูแลร่างกายของเราให้แข็งแรงและพร้อมรับมือกับผลกระทบด้านสุขภาพที่ต้องเจอได้อย่างทันท่วงที วันนี้ Mega We care จึงขอแบ่งปันเคล็ดลับการดูแลตัวเองเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง พร้อมตัวช่วยสำคัญที่จะมาปกป้องระบบทางเดินหายใจให้ปลอดภัย ดังนี้
1.กินอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะโปรตีน ผัก และผลไม้ เนื่องจากเป็นแหล่งสารอาหาร วิตามินและเกลือต่างๆ ที่ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกายได้และช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
2.ดื่มน้ำให้เพียงพอ โดยควรเป็นน้ำอุ่น เพราะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกาย โดยการจิบน้ำอุ่นจะช่วยการลดอาการระคายคอ ไอ และช่วยลดความข้นเหนียวของเสมหะ ทำให้ขับออกง่ายขึ้น
3.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิต ทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวถูกหมุนเวียนไปทั่วร่างกายจึงสามารถดักจับสิ่งแปลกปลอมได้มากขึ้น
4.นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ให้ได้อย่างน้อย 7-9 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ โดยในขณะที่นอนหลับร่างกายจะซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
5.หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่ เพราะสองพฤติกรรมนี้สัมพันธ์กับความเสื่อมถอยของภูมิคุ้มกันโดยตรง ยิ่งดื่มมากสูบมากร่างกายยิ่งเสี่ยงกับอาการป่วยได้ง่ายขึ้น
1.สเปรย์พ่นจมูกธรรมชาติ ในปัจจุบันการเลือกใช้ สเปรย์พ่นจมูก ถือเป็นการสร้างเกราะป้องกันให้กับระบบทางเดินหายใจได้ตั้งแต่แรกเริ่ม โดยเฉพาะสเปรย์พ่นจมูกที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติอย่าง เอคโตอิน (Ecotoin) ที่มีส่วนช่วยในการปกป้องเยื่อบุโพรงจมูก สามารถใช้ฉีดพ่นเพื่อสร้างชั้นเคลือบในโพรงจมูก ช่วยให้ความชุ่มชื้นกับเยื่อบุโพรงจมูก ลดการระคายเคือง และการสัมผัสของฝุ่นควัน เชื้อโรค สิ่งแปลกปลอม อีกทั้งยังใช้เพื่อบรรเทาอาการจากโรคภูมิแพ้ เช่น อาการจาม น้ำมูกไหล คัดจมูก และยังช่วยลดความถี่ หรือความรุนแรงของอาการที่อาจเกิดจากภูมิแพ้ได้อีกด้วย ซึ่งมีผลการศึกษาพบว่ามีผลประสิทธิภาพใกล้เคียงรูปแบบยาแก้แพ้
2.สเปรย์พ่นคอสมุนไพร (Herbal Mouth spray) ในส่วนของลำคอนั้นอาจรู้สึกระคายคอ คอแห้งบ้างในบางครั้ง เนื่องจากเชื้อโรคต่างๆอาจสะสมมากขึ้นบริเวณลำคอจนเกิดการอักเสบ และรู้สึกระคายเคืองคอได้ การใช้สเปรย์พ่นคอสมุนไพร ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยดูแลเฉพาะจุด โดยสรรพคุณของสมุนไพรบางชนิดมีส่วนช่วยลดอาการอักเสบ อาทิเช่น โพรโพลิส คาโมมายล์ ว่านหางจรเข้ เป็นต้น และช่วยให้ชุ่มคอได้เป็นอย่างดี ซึ่งการใช้สมุนไพรในรูปแบบสเปรย์ พ่นคอจะช่วยให้สัมผัสจุดที่มีอาการระคายเคืองได้ตรงจุด ดังนั้นเมื่อมีอาการรู้สึกระคายเคือง สามารถใช้ฉีดพ่นได้ทันที
3.ยาแก้ไอสมุนไพร เป็นอีกวิธีที่ช่วยบรรเทาอาการไอได้อย่างดีไม่น้อย ซึ่งสมุนไพรที่มีฤทธิ์ในการช่วยให้ชุ่มคอ ลดอาการไอนั้นมีหลากหลาย แต่มีสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้ คือ “ใบไอวี่” ที่มีสารสกัดสำคัญคือ ซาโปนิน (Saponin) จะมีฤทธิ์ช่วยขับเสมหะ และ บรรเทาอาการไอ โดยมีผลการวิจัยเปรียบเทียบประสิทธิภาพการใช้สารสกัดใบไอวี่และยาขับเสมหะในกลุ่มผู้ป่วยโรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลันทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่มีอาการไอ ร่วมกับเสมหะ ผลปรากฏว่าสารสกัดใบไอวี่มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับการใช้ยาขับเสมหะ จึงกล่าวได้ว่าสารสกัดใบไอวี่เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการบรรเทาอาการไอแบบมีเสมหะได้นั่นเอง และเนื่องจากเป็นสารสกัดที่มาจากสมุนไพรจึงมีความปลอดภัยต่อร่างกายในระยะยาว อ้างอิงข้อมูลจาก : https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/32454850/
แต่อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันทุกคนต้องเผชิญกับมลภาวะทางอากาศอีกมากมาย ทั้งควันจากท่อไอเสียตามทางถนน ฝุ่น PM 2.5 และเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจโดยตรงทั้งสิ้น ดังนั้นการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐาน รวมไปถึงการเลือกใช้ตัวช่วยที่มีคุณสมบัติในการดูแลและปกป้องระบบทางเดินหายใจยังคงเป็นสิ่งที่ควรทำอยู่เสมอ เพราะไม่ว่าสถานการณ์ไหน หรือสภาพอากาศแบบใด เราปรารถนาให้ทุกคนมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงอยู่ตลอดเวลา ด้วยความห่วงใยจาก…. Mega We care