ปัญหา 'ฝ้า กระ จุดด่างดำ' หนึ่งในปัญหาผิวหน้าที่กวนใจหลายคนโดยเฉพาะสาวๆ และเราเชื่อว่าผู้ที่มีปัญหา ฝ้า กระ จุดด่างดำ ต่างหาวิธีแก้ปัญหาเพื่อทำให้ตัวเองกลับมาหน้าใสเหมือนเดิม แต่ความเป็นจริงแล้วยังมีอีกหลายคนที่ยังยังแยกไม่ออกว่า อันไหนคือ 'ฝ้า กระ จุดด่างดำ' จึงทำให้ผลการรักษาไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากรักษาไม่ถูกวิธี
สำหรับใครที่ยังแยกไม่ออกว่าปัญหา 'ฝ้า กระ จุดด่างดำ' ต่างกันอย่างไร และเกิดมาจากสาเหตุอะไรบ้างในบทความนี้ MEGA We care ขออาสามาให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อให้ทุกคนแยกปัญหาแต่ละชนิดให้ออก เมื่อเราสามารถแยกปัญหา 'ฝ้า กระ จุดด่างดำ' ได้อย่างถูกต้อง เราก็จะได้แก้ไขปัญหากันได้อย่างตรงจุดและทำให้เรากลับมามีใบหน้าที่เรียบเนียน สีผิวสม่ำเสมอ ผิวกระจ่างใส ได้อย่างที่เคยเป็น
ฝ้า (Melasma)
ฝ้า มีลักษณะเป็น ปื้นสีน้ำตาลอ่อนหรือเข็มมาก อาจมีขอบเขตชัดเจน หรือไม่มีขอบ มีหลากหลายขนาด หลายรูปทรง สามารถเกิดได้ทั่วบริเวณใบหน้า ซึ่งพบมากในผู้หญิงช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไปมากถึง 80% โดยบริเวณใบหน้าที่มีโอกาสเกิดฝ้ามากที่สุดก็คือ โหนกแก้ม แก้มทั้งสองข้าง จมูก และหน้าผาก โดยเฉพาะบริเวณที่มักโดนแดดกระทบบ่อยๆ
สาเหตุของการเกิดฝ้า (Melasma)
ฝ้า เกิดจากเซลล์ผิวหน้าไม่แข็งแรงและเสื่อมสภาพลง จึงเกิดการเกาะกลุ่มของเซลล์เม็ดสีเมลานิน เป็นหย่อมๆ และมีการทำงานที่ผิดปกติไป ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นเกิดเป็นรอยปื้นสีน้ำตาลอ่อนหรือเข็มมาก ซึ่งปัจจัยหลักที่กระตุ้นทำให้เกิดฝ้าได้แก่ แสงแดด ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในร่างกาย สารเคมีจากเครื่องสำอาง พันธุกรรม พักผ่อนไม่เพียงพอขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย รวมถึงผู้ที่ชอบอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือจอมือถือ เป็นต้น
ฝ้า (Melasma) แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1. ฝ้าตื้น: มีสีน้ำตาลเข้ม มีขอบชัดเจน มองเห็นได้ชัดเพราะอยู่ที่เซลล์ผิวชั้นบน หรือเกิดบนชั้นหนังกำพร้า
2. ฝ้าลึก: มีสีเข้มออกน้ำเงินอมม่วงหรือเทาอ่อน ขอบเขตไม่ชัดเจน อยู่ที่ผิวหนัง ชั้นลึกลงไป รักษาได้ยาก ซึ่งเกิดพบชั้นหนังแท้
3. ฝ้าผสม: มีทั้งฝ้าตื้นและฝ้าลึก สีจางๆ เกิดอยู่ร่วมกันในบริเวณต่างๆ
กระ (Freckles)
กระ มีลักษณะเป็นจุดเล็กๆ กลมๆ มีขอบชัดเจน กระจายอยู่ทั่วใบหน้า สามารถเกิดได้ทั้งแบบเป็นตุ่มนูน หรือจะเรียบไปกับผิว บริเวณที่มักเกิด หน้าผาก แก้ม ดั้งจมูก คาง ลำคอ และร่องริมฝีปากบน
สาเหตุของการเกิด กระ (Freckles)
กระเกิดจากการทำงานผิดปกติของเซลล์เม็ดสีเมลานิน และการเจริญผิดปกติของเซลล์ผิว จึงส่งผลให้ผิวบริเวณนั้นเป็นจุดเล็กๆ กลมๆ มีขอบชัดเจน กระจายอยู่ทั่วใบหน้า ซึ่งปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้เกิดกระได้แก่ แสงแดด อายุ และกรรมพันธุ์
กระ (Freckles) เป็นออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่
1. กระตื้น: มีลักษณะเป็นเป็นจุดๆ มักขึ้นบริเวณโหนกแก้มทั้ง 2 ข้าง
2. กระลึก: มีลักษณะเป็นจุดเล็กๆ หรือแผ่นสีน้ำตาล เทา ดำ ขอบไม่ชัด มักพบบริเวณ โหนกแก้ม ดั้งจมูก ขมับทั้ง 2 ข้าง
3. กระเนื้อ: มีลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆ สีน้ำตาลอ่อน หรือน้ำตาลเข้ม พบบริเวณใบหน้า ลำคอ หน้าอก
4. กระแดด: มีลักษณะเป็นจุดหรือปื้นเรียบๆ สีน้ำตาลหรือสีดำขนาดเล็ก ขอบชัด พบได้บริเวณใบหน้า แขน ขา เป็นต้น ส่วนใหญ่
จุดด่างดำ (Dark Spot)
จุดด่างดำ มีลักษณะเป็นรอยดำๆ เกิดขึ้นได้ทั่วบริเวณใบหน้า ส่วนใหญ่เกิดจากรอยสิว รอยแผล หรือ มักเกิดขึ้นบริเวณจากการแกะสิวที่อักเสบทำให้ผิวอักเสบไปด้วย ซึ่งบริเวณที่อักเสบจะเป็นสีน้ำตาลเข็มถึงดำ นอกจากนี้ ตัวกระตุ้นที่สำคัญคือแสงแดดที่ทำให้รอยดำและจุดด่างดำบนใบหน้าเข้มขึ้น
จะเห็นได้ว่า ปัญหา 'ฝ้า กระ จุดด่างดำ' มีสาเหตุที่แตกต่างกัน แต่เราจะสังเกตได้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็น ฝ้า กระ จุดด่างดำ ส่วนใหญ่แล้วมักเกิดจากเซลล์ผิวหน้าที่ไม่แข็งแรงจากภายใน และมีแสงแดดเป็นตัวการหลักที่กระตุ้นให้เป็นมากขึ้น ดังนั้นหากต้องการแก้ปัญหา ควรเริ่มแก้จากภายใน โดยการเริ่มจาก ‘ฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง’ ด้วยสารอาหารจากธรรมชาติควบคู่กับการดูแลผิวจากภายนอกเพื่อประสิทธิภาพที่ดีมากขึ้น
วิธีดูแลผิวจากภายนอก
1. ทาครีมกันแดดที่มี SPF50 ขึ้นไปอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
2. ใช้ครีมบำรุงที่ผ่านการรับรองประสิทธิภาพ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น และไม่แห้งกร้าน อยู่เสมอ
3. เลือกรับประทาน ผัก ผลไม้ อย่างน้อย 50% ในทุกมื้อ
4. พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 8-9 ชั่วโมงต่อวัน
5. หลีกเลี่ยงความเครียด ขับถ่ายให้เป็นเวลา
6. ดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 1.5 ลิตร หรือเทียบได้กับน้ำปริมาณ 8 – 10 แก้วต่อวัน
สารอาหาร ‘ฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง’ ป้องกันฝ้า กระ จุดด่างดำ อย่างตรงจุด
สำหรับผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระ
สารสกัดจากเปลือกสนมาริไทม์ฝรั่งเศส: สารสกัดจากเปลือกสนมาริไทม์ฝรั่งเศส เป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่นิยมและเป็นที่ยอมรับในแถบยุโรป มีบทบาทช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวและปรับโครงสร้างผิวเพื่อให้เกิดความสมดุลในการสร้างเม็ดสี ลดการสร้างเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ ทำให้เซลล์เม็ดสีมีการกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอและทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น
มีการศึกษาพบว่า การรับประทานสารสกัดจากเปลือกสนมาริไทม์ ฝรั่งเศส วันละ 75 มก. ต่อเนื่อง 4 สัปดาห์ พบว่าพื้นที่ของฝ้าลดลง กว่า 80% นอกจากนี้มีการศึกษาค้นคว้าสูตรรวมพิเศษ MSCC Complex ที่พบว่า รับประทานต่อเนื่อง 6 สัปดาห์ พื้นที่ของฝ้าลดลง และผู้ใช้มีความพึงพอใจในผลลัพธ์ที่ได้ กว่า 90% แก้ปัญหาฝ้าได้ถึง 80% และ 75% พื้นที่ผิวขาวขึ้น ซึ่งสารอาหารที่มีบทบาทในสูตรดังกล่าวนั้น ได้แก่ สารสกัดจากเปลือกสนมาริไทม์ฝรั่งเศส วิตามินซี วิตามินอี สารสกัดจากข้าว สารสกัดจากสาหร่าย ดี ซาลีนา และสารสกัดจากมะเขือเทศ โดยสารอาหารดังกล่าว มีบทบาทในการช่วยแก้ปัญหาเรื่องฝ้า ด้วย 3 ขั้นตอน ได้แก่
· ลดเลือน : ลดความเข้มของฝ้า หรือเม็ดสีเมลานิน
· บำรุงผิว : เป็นการเร่งฟื้นฟูผิว ให้กลับมาแข็งแรงเร็วขึ้น เพราะ ปัญหาของการเกิดฝ้ามากที่สุด คือผิวไม่แข็งแรงนั่นเอง
· ป้องกัน : การป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ ด้วยการปกป้องแสงแดด ด้วยสารอาหารจากธรรมชาติ เสมือนการทาครีมกันแดด
(อ่านเพิ่มเติมที่: https://www.megawecare.co.th/content/5537/the-secret-of-melasma )
สำหรับผู้มีปัญหากระ
การรักษากระนั้น ขึ้นกับประเภทของกระ หากเป็นกระเนื้อ อาจจะต้องมีการรักษาด้วยการเลเซอร์ สำหรับกระแดด และกระตื้น การดูแลผิวด้วยสารอาหารที่มีส่วนช่วยให้เซลล์ผิวแข็งแรง และเม็ดสีเมลานินทำงานได้เป็นปกติ นั้นได้แก่สารสกัดเปลือกสนมาริไทม์ฝรั่งเศส เช่นกัน อีกทั้งควรทาครีมกันแดดปกป้อง ทั้งนี้ กระ จะมีการเกิดที่ชั้นลึกกว่าฝ้า จึงทำให้กระนั้น ไม่หายขาด และจางหายได้ช้ากว่าด้วย แต่เราสามารถป้องกันไม่ให้เกิดเข้มมากขึ้นได้ ด้วยการเสริมสารอาหารดังกล่าว และการปกป้องผิวจากแสงแดดด้วยการทาครีมกันแดดเช่นกัน
สำหรับผู้ที่มีปัญหาจุดด่างดำ
สารสกัดเมล็ดองุ่น (Grape Seed Extract )
สารสกัดเมล็ดองุ่น ได้รับการยกย่องให้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่มีประสิทธิภาพมากอีกตัวหนึ่งของโลก (Super antioxidant) ซึ่งสารสำคัญในเมล็ดองุ่นเป็นสารกลุ่มไบโอฟลาโวนอยด์ ที่มีชื่อเรียกว่า 'โอลิโกเมอริก โปรแอนโธไซยานิดิน’ หรือโอพีซี (OPCs; Oligomeric Proanthocyanidins) โดยพบว่า OPCs มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระที่แรงกว่าวิตามินซีถึง 20 เท่า และมากกว่าวิตามินอีถึง 50 เท่า จึงสามารถปกป้องเซลล์ต่างๆ ของร่างกายจากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระได้อย่างดีมีประสิทธิภาพ จึงมีส่วนช่วยให้ลดการอักเสบของรอยแผล ที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดรอยดำ อีกทั้งยังเพิ่มการไหลเวียนเลือดที่บริเวณเส้นเลือดฝอย ทำให้เซลล์ผิวบริเวณดังกล่าว มีความแข็งแรงขึ้น ไม่เสื่อมสภาพจนเกิดรอยช้ำ รอยดำ ยับยั้งการทำลายชั้นคอลลาเจนของผิว และมีส่วนให้เม็ดสีเมลานินทำงานได้ปกติ จึงมีผลให้ดูผิวกระจ่าง รอยดำแลดูจางลงเร็วขึ้น และยังทำให้ผิวดูมีเลือดฝาดอมชมพูขึ้น
(อ่านเพิ่มเติม : https://www.megawecare.co.th/content/5885/grape-seed-item-for-modern-women)
คงจะได้ทราบกันเป็นอย่างดีแล้ว ปัญหา 'ฝ้า กระ จุดด่างดำ' มีสาเหตุที่แตกต่างกัน แต่สาเหตุสำคัญส่วนใหญ่แล้วมักเกิดจากเซลล์ผิวที่ไม่แข็งแรงจากภายในและเสื่อมสภาพ ดังนั้นการดูแลและป้องกันจากภายในสู่ภายนอกยังคงเป็นสิ่งสำคัญเสมอ รวมถึงห้ามละเลยดูแลผิวหน้าอย่างจริงจัง เพียงเท่านี้คุณก็จะผิวที่สุขภาพดี อย่างยั่งยืน