ดีเอชเอ (DHA) จุดเริ่มต้นเพื่อเสริมพัฒนาการและบำรุงสมอง สายตา สำหรับทุกวัย

ดีเอชเอ (DHA) จุดเริ่มต้นเพื่อเสริมพัฒนาการและบำรุงสมอง สายตา สำหรับทุกวัย

ดีเอชเอ (DHA) จุดเริ่มต้นเพื่อเสริมพัฒนาการและบำรุงสมอง สายตา สำหรับทุกวัย

     รู้หรือไม่... การทำงานต่างๆ ของร่างกาย ล้วนเกิดจากสมอง สมองจึงเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดของร่างกาย ที่จะเป็นตัวบ่งชี้ถึงคุณภาพและความฉลาดของแต่ละคน จากการศึกษาทางการแพทย์พบว่า 40% ของกรดไขมันในสมองและ 60% ของกรดไขมันในประสาทตาคือ ดีเอชเอ (DHA) ทำให้กรดไขมันที่มีคุณค่านี้สำคัญและจำเป็นต่อการพัฒนาการทางสมองและสายตา

   สนใจหัวข้อไหน... คลิกเลย

   ดีเอชเอ (DHA) คืออะไร และมีประโยชน์อย่างไร?

  ปัญหาของทารกและเด็กที่ได้รับดีเอชเอ (DHA) ไม่เพียงพอ

  ปัญหาของคนวัยทำงานที่มีระดับของดีเอชเอ (DHA) ในสมองลดต่ำลง

  ปัญหาของผู้สูงอายุที่มีระดับของดีเอชเอ (DHA) ในสมองลดต่ำลง

  ดีเอชเอ (DHA)  เสริมพัฒนาการสมอง และสายตาของเด็กได้อย่างไร?

  รู้หรือไม่... ดีเอชเอ (DHA) ช่วยป้องกันโรคสมาธิสั้นของเด็กวัยเรียน

  ดีเอชเอ (DHA) ตัวช่วยในการเสริมความคิดสร้างสรรค์ให้สมองของวัยทำงาน

  ดีเอชเอ (DHA) มหัศจรรย์แห่งการป้องกันโรคสมองเสื่อม (Alzheimer's Disease) ในผู้สูงอายุ

  หลักเกณฑ์ในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ ดีเอชเอ (DHA) จากคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ

  รับประทานดีเอชเอ (DHA) อย่างไรถึงจะได้ผลดีสำหรับร่างกาย

ดีเอชเอ (DHA) คืออะไร และมีประโยชน์อย่างไร?

     DHA (Docosahexaenoic acid; DHA) คือ กรดไขมันจำเป็นในกลุ่ม Omega-3 ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ต้องได้จากการทานอาหารจำพวกปลาทะเลน้ำลึกในเขตหนาว เช่น ปลาทูน่า
     ดีเอชเอ (DHA) มีความสำคัญต่อพัฒนาการของสมองและสายตา ตั้งแต่ทารกในครรภ์ไปจนถึงวัยสูงอายุ แต่ปัจจุบันกลับพบว่าอาหารที่คนส่วนใหญ่บริโภคนั้นมีปริมาณดีเอชเอ (DHA) น้อยลง จนทำให้เกิดปัญหาของสมองและสายตาในวัยต่างๆ

ปัญหาของทารกและเด็กที่ได้รับดีเอชเอ (DHA) ไม่เพียงพอ

1. ระดับ ไอคิว ลดต่ำลง
2. มีปัญหาการเรียนรู้ช้า ทั้งการเขียนและการอ่าน
3. เด็กมีปัญหาเป็นโรคสมาธิสั้น และขาดการยับยั้งชั่งใจ
4. การมองเห็นของทารกลดลง และอาจก่อให้เกิดโรคตาบอดกลางคืนได้

ปัญหาของคนวัยทำงานที่มีระดับของดีเอชเอ (DHA) ในสมองลดต่ำลง

1. มีอาการซึมเศร้า
2. เครียด และก้าวร้าว

ปัญหาของผู้สูงอายุที่มีระดับของดีเอชเอ (DHA) ในสมองลดต่ำลง

1. โรคอัลไซเมอร์ และโรคสมองเสื่อม
2. ความสามารถของสติปัญญาลดลงในวัยสูงอายุ
3. จอประสาทตาฝ่อตัวอักเสบ

ดีเอชเอ (DHA)  เสริมพัฒนาการสมอง และสายตาของเด็กได้อย่างไร?

    ในช่วงตั้งครรภ์ ทารกจะได้รับดีเอชเอ (DHA)  ผ่านทางรก ซึ่งสารอาหารที่มีคุณค่านี้จะช่วยเพิ่มน้ำหนักตัวและลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนด และเมื่อถึงระยะที่สมองเจริญเติบโตสูงสุดในช่วงชีวิต คือ 3 เดือนก่อนและหลังคลอด ทารกจะมีความต้องการ ดีเอชเอ (DHA)  ในปริมาณสูง เพื่อนำไปใช้ในการเสริมพัฒนาสมอง ระบบประสาท และสายตา จนถึงอายุ 3 ปี จึงถือว่าเป็นโอกาสทองของคุณพ่อคุณแม่ทุกคน ที่จะมอบสารอาหารที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งต่อลูกน้อย เพื่อเตรียมความพร้อมของลูกน้อย ในการเรียนรู้สิ่งต่างๆในอนาคต ด้วยเหตุนี้หญิงตั้งครรภ์ระหว่าง 25-35 สัปดาห์ และสตรีที่ให้นมบุตร ควรได้รับดีเอชเอ (DHA) ในปริมาณ 300 มิลลิกรัมต่อวัน

     *** ผลทดสอบทางการแพทย์ในผู้หญิงตั้งครรภ์ตั้งแต่ 5 เดือนขึ้นไปจนถึงช่วงให้นมบุตรซึ่งได้รับดีเอชเอ (DHA) ในปริมาณที่เพียงพอ เมื่อนำเด็กกลุ่มนี้มาทดสอบสติปัญญาทางด้านต่างๆ เมื่ออายุครบ 4 ปี พบว่ามีพัฒนาการทางสมองดีกว่าเด็กที่คุณแม่ไม่ได้รับดีเอชเอ (DHA) ในช่วงตั้งครรภ์และให้นมบุตร

รู้หรือไม่... ดีเอชเอ (DHA) ช่วยป้องกันโรคสมาธิสั้นของเด็กวัยเรียน

    เด็กต้องใช้สมองและสายตามากเป็นพิเศษ เพื่อการเรียนรู้ด้านภาษา ฝึกทักษะความคิดต่างๆ เด็กในวัยนี้จึงควรได้รับดีเอชเอ (DHA) ในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยบรรเทาความเครียดจากการเรียน
     ด้วยเหตุนี้นักเรียนในประเทศญี่ปุ่นที่มีการแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยสูง นิยมรับประทานดีเอชเอ (DHA) ก่อนสอบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความจำและเสริมสมาธิ มากกว่านั้นระดับดีเอชเอ (DHA)  ในสมองที่สมดุลยังช่วยป้องกันเด็กให้ห่างไกลจากการเป็น 'โรคสมาธิสั้น' ซึ่งจะทำให้เด็กไม่สามารถควบคุมสมาธิและการเคลื่อนไหวของตนเองจนทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น ผลการเรียนตกต่ำ ถึงแม้ระดับสติปัญญาจะปกติ แต่จะพบปัญหาด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่น และเพิ่มโอกาสการเกิดสภาพจิต อื่นๆ ตามมาในอนาคตเพราะเนื่องจากระบบการทำงานของร่างกายเด็กในการเปลี่ยนสาร Alpha-Linoleic Acid ที่เป็นสารตั้งต้น ไปเป็นดีเอชเอ (DHA) ได้เพียง 0.2% ของปริมาณที่ได้รับทั้งหมด จึงทำให้พบว่า 40% ของเด็กที่เกิดโรคสมาธิสั้น จะมีปัญหาของการมีระดับดีเอชเอ (DHA) ในเลือดต่ำ ดังนั้นเด็กวัย 1-12 ปี ควรได้รับปริมาณดีเอชเอ (DHA) อย่างเพียงพอประมาณ 20 มิลลิกรัม ต่อ น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
    พ่อแม่ที่มีความสงสัยว่าลูกน้อยมีพัฒนาการที่สมวัยหรือไม่ สามารถพิจารณาได้จากตารางแสดงพัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็กในช่วงวัย 1-3 ขวบ


ดีเอชเอ (DHA) ตัวช่วยในการเสริมความคิดสร้างสรรค์ให้สมองของวัยทำงาน

     ด้วยหน้าที่และความรับผิดชอบที่อยู่รอบตัว ทั้งเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว และเรื่องครอบครัว ทำให้วัยทำงานมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคซึมเศร้า (Depression) ที่มีอาการหงุดหงิด ไม่สบายใจ และนอนไม่หลับ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความเครียดมากขึ้น สาเหตุหนึ่งเกิดจากสภาวะความกดดันจากการทำงานหรือปัญหาในครอบครัว และอาจเกิดจากการที่ร่างกายมีระดับดีเอชเอ DHA ในสมองต่ำกว่าปกติ การได้รับดีเอชเอ DHA อย่างเพียงพอในปริมาณ 300 มิลลิกรัมต่อวัน จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะไม่เพียงแต่ป้องกันโรคซึมเศร้า ยังสามารถช่วยคืนความสดชื่นให้กับสมองที่เครียดและอ่อนล้าจากการใช้ความคิด วิเคราะห์และแก้ปัญหาการทำงานในแต่ละวัน

ดีเอชเอ (DHA) มหัศจรรย์แห่งการป้องกันโรคสมองเสื่อม (Alzheimer's Disease) ในผู้สูงอายุ

     โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมสลายของเซลล์สมอง ซึ่งมักเกิดกับผู้สูงอายุ ทำให้เกิดอาการหลงลืม เช่น ลืมชื่อคน ลืมของ ชอบพูดซ้ำๆ บางท่านอาจมีอารมณ์หงุดหงิด จนก้าวร้าวหรือท้อแท้ในชีวิต ซึ่งจากผลการวิจัยในผู้สูงอายุกว่า 1,000 คน เป็นเวลา 10 ปี พบว่าสภาวะดังกล่าวมีสาเหตุจากการที่มีระดับดีเอชเอ (DHA) ในสมองลดต่ำลง ดังนั้นเพื่อป้องกันการเสื่อมของเซลล์สมอง ผู้สูงอายุจึงจำเป็นต้องได้รับดีเอชเอ (DHA) อย่างเพียงพอในปริมาณ 500-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน

หลักเกณฑ์ในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ ดีเอชเอ (DHA) จากคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ

1.  ควรเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการรับรองมาตรฐานการผลิต ทำให้มั่นใจในการตรวจวิเคราะห์ว่าปราศจากสารปนเปื้อน เช่น ปรอท ตะกั่ว สารหนู และเชื้อโรคต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดโรค เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของทารก เด็ก หญิงตั้งครรภ์ สตรีที่ให้นมบุตร และบุคคลทั่วไป
2.  สกัดจากปลาทะเลน้ำลึกเขตหนาวจากไอซ์แลนด์ที่อุดมไปด้วยกรด Omega-3 โดยเฉพาะดีเอชเอ (DHA)  ในปริมาณสูง
3.  เป็น Tuna Oil ประกอบด้วย DHA : EPA สัดส่วน 25:7 เพื่อเน้นคุณประโยชน์ของดีเอชเอ (DHA)  ในการช่วยเสริมพัฒนาการของสมองและสายตา
4.  ควรต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตภายใต้มาตรฐานยาระดับสากล ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานจาก (GMP ของไทย, BfArm ของเยอรมัน, TGA ของออสเตรเลีย) ทำให้มั่นใจในคุณภาพของดีเอชเอ (DHA) ว่าได้ผ่านการคัดสรรและขั้นตอนการผลิตที่ได้มาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยแก่ผู้บริโภคในระยะยาว

รับประทานดีเอชเอ (DHA) อย่างไรถึงจะได้ผลดีสำหรับร่างกาย

1.  เด็กที่มีน้ำหนักตัว 3-5 กก. แนะนำให้รับประทานวันละ 1-2 แคปซูล

2.  สตรีมีครรภ์ (มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 25-35 สัปดาห์) แนะนำให้รับประทานวันละ 1-2 แคปซูล

3.  สตรีให้นมบุตร แนะนำให้รับประทาน 1-2 แคปซูล / วัน

4.  คนทำงาน แนะนำให้รับประทาน 1-2 แคปซูล / วัน

5.  ผู้สูงอายุ แนะนำให้รับประทาน 4-6 แคปซูล / วัน

This website uses cookies for best user experience, to find out more you can go to our Privacy Policy  and  Cookies Policy