เคยไหม…จ้องคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตเป็นเวลานานๆ แล้วเริ่มรู้สึกปวดตา ตาแห้ง คันตา แสบตา มีน้ำตาไหล ตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด ทั้งหมดนี้คืออาการของโรคตาล้า โรคตายอดฮิตปัจจุบันที่มักจะเกิดกับคนทำงาน หรือผู้ที่ใช้สายตาเป็นเวลานาน
อย่าชะล่าใจกับโรคนี้โดยเด็ดขาด เพราะอาการเหล่านี้จะไปกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัว เหนื่อยล้า เวียนศีรษะ บ้านหมุน และปวดไมเกรนได้อีกด้วย ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้จนเรื้อรังก็เสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงขึ้นจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และอาจลุกลามเป็นโรคตาที่ร้ายแรงในอนาคต
สาเหตุของโรคตาล้า
โรคตาล้าตาแห้ง มีสาเหตุมาจากการใช้สายตาอย่างต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากกิจกรรมที่ทำอยู่ในชีวิตประจำวัน เช่น อ่านหนังสือ ขับรถ การดูโทรทัศน์ ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน หรือการใช้สมาร์ทโฟนที่มีแสงจ้า หรือใช้สายตาในที่มืดที่มีแสงน้อย แม้กระทั่งดวงตาสัมผัสกับลมจนทำให้ตาแห้ง ผู้ที่มีค่าสายตาผิดปกติ หรือกระจกตามีปัญหาก็เกิดอาการนี้ได้เช่นกัน
วิธีป้องกัน และลดความเสี่ยงเกิดโรคตาล้า
จำกัดเวลาใช้สายตาในการทำกิจกรรม อย่างเช่น การอ่านหนังสือ ทำงาน หรือเล่นสมาร์ทโฟน และควรพักสายตาอย่างน้อย 20 วินาที ทุกๆ 20 นาที
การกะพริบตาบ่อย ๆ จะช่วยให้ดวงตาชุ่มชื้นขึ้น
ไม่ควรใช้สายตาในที่มืดหรือมีแสงน้อย หากต้องทำงานหรือทำกิจกรรมต่างๆ ควรปรับแสงให้เหมาะสม
ควรตั้งจอคอมพิวเตอร์ให้ห่างจากสายตาในระยะ 20-26 นิ้ว ควรปรับแสงและระดับของหน้าจอให้เหมาะกับการมองเห็น ต้องไม่สว่างหรือมืดจนเกินไป
เลือกสวมแว่นตาที่เหมาะสมกับการใช้งาน อย่างเช่น สวมแว่นสายตาขณะอ่านหนังสือ เมื่อออกกลางแจ้งสวมแว่นตากันแดดเพื่อเป็นการถนอมสายตา หรือสวมแว่นตาที่ใช้สำหรับเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์
ป้องกันไม่ให้ตาแห้ง ควรหลีกเลี่ยงการนั่งหน้าพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศ เพราะทำให้ดวงตาสัมผัสกับลมโดยตรง
สารอาหาร 3 ชนิดที่ช่วยบำรุงดวงตา
ลูทีน (Lutein)
เป็นสารอาหารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่อยู่บริเวณเรตินาของดวงตา ช่วยกรองแสงสีฟ้าจากหน้าจอ ลดความเสี่ยงเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมและโรคต้อกระจก ร่างกายไม่สามารถสร้างลูทีนขึ้นมาใช้เองได้ จึงต้องรับประทานเข้าไปเท่านั้น พบมากในผักใบเขียว เช่น คะน้า บร็อคโคลี ผักโขม ผักปวยเล้ง กะหล่ำปลี เป็นต้น
บิลเบอร์รี่สกัด (Bilberry extrect)
ผลไม้สีน้ำเงินม่วงอยู่ในตระกูลเบอร์รี่ เป็นที่นิยมรับประทานในแถบยุโรปและอเมริกา ผลไม้ชนิดนี้อุดมไปด้วยสารสำคัญแอนโธไซยาโนไซด์ ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูงที่ช่วยบำรุงดวงตา ช่วยถนอมสายตา ลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา ช่วยในการมองเห็นตอนกลางคืนได้ดี
เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene)
สารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ ช่วยให้มองเห็นในที่มืดได้ดี ลดความเสื่อมสภาพของเซลล์ลูกตา เยื่อบุตา และกระจกตา มักพบมากในผักและผลไม้ที่มีสีสัน เช่น แครอท ฟักทอง มะละกอสุก แตงโม เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก :
https://www.pobpad.com/ตาล้า
https://www.aoa.org/healthy-eyes/caring-for-your-eyes/diet-and-nutrition?sso=y
http://www.thaiheartfound.org/category/details/food/337
https://prayod.com//บิลเบอร์รี-บำรุงสายตา/
https://datareportal.com/reports/digital-2020-thailand