หลายคนที่ป่วยเป็นโรคหัวใจคงคิดว่าตัวเองไม่สามารถออกกำลังกายได้ เพราะอัตราการเต้นของหัวใจที่สูงขึ้นในขณะออกกำลังกายจนอาจเป็นอันตราย และทำให้อาการทรุดหนักลงได้ แต่แท้จริงแล้วการออกกำลังกายจะช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมากขึ้น ทั้งยังช่วยควบคุมระดับไขมันคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือด และลดความเสี่ยงของโรคหัวใจต่าง ๆ เช่น โรคลิ้นหัวใจรั่ว โรคลิ้นหัวใจตีบ ภาวะหัวใจล้มเหลว และลดอาการเจ็บหน้าอกของผู้ป่วยโรคหัวใจได้อีกด้วย โดยผู้ป่วยโรคหัวใจควรเลือกการออกกำลังกายที่หัวใจทำงานไม่หนักมากแต่มีความต่อเนื่อง ซึ่งอาจเลือกวิธีออกกำลังกายดังต่อไปนี้
- การเดินเร็ว
เป็นวิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจทุกช่วงอายุ เพราะไม่ได้ทำให้เหนื่อยจนเกินไป ซึ่งการเดินเร็วอย่างน้อย 30 นาที ต่อวัน หรือ สัปดาห์ละ 1-3 ชั่วโมง จะลดอัตราการเกิดโรคหัวใจได้ถึงร้อยละ 30
- การวิ่ง
การออกกำลังกายด้วยการวิ่งจะไปช่วยเพิ่มแรงบีบตัวของหัวใจล่างซ้าย ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจสูบฉีดเลือดได้แรงขึ้น อีกทั้งยังช่วยปรับอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ในระดับที่ดี และการวิ่งยังเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อขาทำให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวตัวได้ดีขึ้น
- ว่ายน้ำ
เป็นหนึ่งวิธีออกกำลังกายที่ดีต่อสุขภาพหัวใจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจมีความแข็งแรงและยืดหยุ่นซึ่งนอกจากน้ำจะเป็นตัวช่วยพยุงร่างกายทำให้ไม่เหนื่อยมากแล้ว ยังช่วยถนอมกระดูกข้อต่อ ลดอาการปวดข้อหลังจากการออกกำลังกายได้อีกด้วย
- รำไทชิ
เป็นหนึ่งในศาสตร์การเคลื่อนไหวร่างกายและฝึกการหายใจแบบจีนโบราญ ซึ่งมีส่วนช่วยให้ระบบการไหลเวียนเลือดทำงานได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด อีกทั้งยังช่วยเรื่องสมาธิ และทำให้ร่างกายมีความยืดหยุ่นเกิดความสมดุลมากขึ้น
- โยคะ
เป็นวิธีการออกกำลังกายที่ช่วยเรื่องระบบไหลเวียนของเลือด ช่วยให้หัวใจสูบฉีดเลือดได้ดีและมีจังหวะการเต้นที่เป็นปกติ อีกทั้งยังช่วยลดความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของโรคทางระบบหัวใจและระบบไหลเวียนโลหิตได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามการออกกำลังกายของผู้ป่วยโรคหัวใจก็ยังควรอยู่ภายใต้ขอบเขต และหมั่นสังเกตุอาการในการออกกำลังกายอยู่เสมอเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งข้อควรระวังในการออกกำลังกายมี ดังนี้ ข้อควรระวังของการออกกำลังกายในผู้ป่วยโรคหัวใจ
ข้อควรระวังของการออกกำลังกายในผู้ป่วยโรคหัวใจ
- ควรอบอุ่นร่างกาย 10-15 นาที ก่อนออกกำลังกาย
- ไม่ควรออกกำลังกายขณะท้องว่าง แต่ควรเว้นระยะจากการรับประทานอาหารอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายกลางแสงแดดแรงๆ
- ควรเลือกออกกำลังกายในเวลาเดิมทุกวัน
- หากต้องการออกกำลังกายหนักๆ ควรปรึกษาแพทย์
- ควรหยุดออกกำลังกายเมื่อมีอาการผิดปกติ เช่น เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ
นอกจากการออกกำลังกายจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจและสุขภาพโดยรวมแล้ว การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้แจ่มใส รวมทั้งการเสริมด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อหัวใจอย่างโคเอมไซน์คิวเทน (Coenzyme Q10) ก็จะช่วยดูแลและบำรุงหัวใจให้แข็งแรงได้ดียิ่งขึ้น