จากสถิติของแพทย์เฉพาะทางที่เชี่ยวชาญ หนึ่งในปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับระบบขับถ่ายและทางเดินอาหารที่คนไทยมีแนวโน้มเสี่ยงที่เป็นมากขึ้นก็คือ โรคริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids) จากอาการ ท้องผูก ซึ่งเป็นโรคที่มีสิ่งผิดปกติยื่นออกมาจากร่างกาย ส่วนที่ยื่นออกมาจะมีลักษณะคล้ายติ่งเนื้อ และเกิดขึ้นบริเวณทวารหนัก
สาเหตุของโรคริดสีดวงทวารหนักของคนไทยมากที่สุดในปัจจุบันเกิดจากปัญหา ท้องผูก ที่ส่งผลให้พฤติกรรมในการขับถ่ายอุจจาระต้องเบ่งถ่ายบ่อยๆ และเป็นเวลานานจากท้องผูกปกติก็กลายเป็นท้องผูกเรื้อรัง ชีวิตประจำวันของบางคนก็อาจส่งผลเสียหรือทำให้เกิดปัญหาได้ เช่น การกลั้นอุจจาระเป็นประจำ อาการท้องเสียเรื้อรัง รวมทั้งชอบใช้ยาระบายหรือยาสวนทวารบ่อยครั้งเมื่อเกิดปัญหาอุจจาระไม่ออก ซึ่งอาการของโรคริดสีดวงสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะ โดยแต่ละระยะจะมีความรุนแรงไม่เท่ากัน แตกต่างกันที่อาการที่แสดงออกมา เช่น การบวมอักเสบ และขนาดของริดสีดวง รวมถึงอาการแทรกซ้อนต่างๆ
อย่างที่ทราบว่า ‘ท้องผูก’ คือหนึ่งในจุดเริ่มต้นของการเป็นโรคริดสีดวงทวาร และสาเหตุหลักของอาการท้องผูกของคนไทยในปัจจุบันก็มาจากพฤติกรรมการกินอาหารในชีวิตประจำวันที่นิยมบริโภคอาหารประเภทเนื้อสัตว์มากกว่าการกินพืชผักและผลไม้ เช่น การกินหมูกะทะ อาหารประเภทบุฟเฟ่ต์ต่างๆ รวมถึงการดื่มน้ำที่น้อยเกินไป แพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ให้ความรู้ไว้ว่าอาการท้องผูกไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนครั้ง หรือความสม่ำเสมอในการขับถ่าย ตราบใดที่ยังสามารถขับถ่ายได้เป็นปกติ ไม่ต้องเบ่ง อุจจาระยังมีลักษณะนิ่ม และจับตัวเป็นก้อน ถึงแม้จะถ่าย 2-3 วันต่อครั้งก็ยังไม่ถือว่าระบบขับถ่ายผิดปกติ
ประเมินสุขภาพการขับถ่ายด้วยตนเอง คลิกที่นี่
แต่หากเมื่อใดที่การขับถ่ายแต่ละครั้งต้องใช้เวลานานมากว่า 30 นาที เพื่อการเบ่งถ่าย หรือการขับถ่ายมีลักษณะเหมือนไม่สุด ปริมาณอุจจาระออกมาน้อย และมีลักษณะเป็นเม็ดแข็ง เกิดความอึดอัดไม่สบายและแน่นท้อง นั่นก็คือ สัญญาณของอาการของท้องผูกอย่างชัดเจน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่ากว่า 50% ของผู้ที่ประสบปัญหากับอาการท้องผูกสามารถกลับมาขับถ่ายได้เป็นปกติ เพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น
วิธีแก้ปัญหาของคนทั่วไปเมื่อเกิดอาการท้องผูกกว่า 80% เลือกการซื้อยาถ่ายหรือยาระบาย เพราะสะดวกสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าการกินยาถ่ายหรือยาระบายต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือกินทุกครั้งที่เกิดอาการจะส่งผลเสียต่อระบบขับถ่ายถาวร นั่นก็คือ ร่างกายของเราจะคุ้นชินกับการขับถ่ายที่ได้รับการกระตุ้นจากยาเท่านั้น ไม่บีบรัดตัวเองและขับถ่ายตามธรรมชาติ หรือเรียกในภาษาทั่วไปก็คือ อาการดื้อยา เมื่อไม่กินก็จะขับถ่ายไม่ได้ หรืออาจจะต้องเพิ่มปริมาณในการกินยาให้มากขึ้นไปอีก ท้ายที่สุดก็เป็นโรคต่างๆ เกี่ยวกับการขับถ่ายตามมากมาย
พรีไบโอติก (Prebiotic) คือ สารอาหารที่ไม่มีชีวิต มีลักษณะเป็นเส้นใยอาหารที่จะไม่ถูกย่อยในกระเพาะอาหารโดยให้คุณค่าในการช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ใหญ่ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น แลคโตบาซิลลัส และ บิฟิโดแบคทีเรีย ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่จะสามารถทนต่อน้ำย่อย กรด ด่าง ในกระเพาะและลำไส้ได้ จึงเกิดประโยชน์ในการหมักและย่อยอาหาร ทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้อย่างเป็นปกติ หรือสามารถอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆ ก็คือพรีไบโอติก (Prebiotic) คืออาหารของจุลินทรีย์ชนิดดีหรือที่เรียกว่าโปรไบโอติก (Probiotic) ที่สามารถไปช่วยเพิ่มจำนวนจุลินทรีย์ชนิดดีให้มีมากในลำไส้นั่นเอง แต่ที่สำคัญในร่างกายของคนเราจะต้องมีทั้งพรีไบโอติก (Prebiotic) และโปรไบโอติก (Probiotic) อย่างเพียงพอถึงจะส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย และระบบขับถ่าย
ในธรรมชาติสามารถพบพรีไบโอติก (Prebiotic) ได้ในผักและผลไม้ โดยเฉพาะผักหรือผลไม้ที่มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนอย่าไฟเบอร์และอาหารกลุ่มแป้งที่ร่างกายย่อยไม่ได้หรือย่อยได้อย่างช้าๆ เช่น ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต กระเทียม หน่อไม้ฝรั่ง อะโวคาโด หัวหอม ธัญพืชประเภทถั่วเหลือง ฝรั่ง กล้วย แอปเปิ้ล และมะเขือเทศ เป็นต้น
คุณค่าของพรีไบโอติก (Prebiotic) ไม่ใช่แค่ช่วยป้องกันอาการท้องผูกเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น
พรีไบโอติก (Prebiotic) ไม่ได้เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาท้องผูกเท่านั้น ยังเหมาะกับคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารและลำไส้ เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือท้องผูกเรื้อรัง คนที่มีความผิดปกติในการขับถ่าย เช่น ถ่ายเหลวบ่อย หรือติดเชื้อในทางเดินอาหารง่ายกว่าคนทั่วไป รวมทั้งคนที่ต้องการดูแลสุขภาพ นอกจากนี้เด็กทารกที่ไม่ได้กินนมแม่ก็สามารถกินได้เช่นกัน
1. www.pobpad.com
2. www.bumrungrad.com
โพรไบโอติก (Probiotic) มิตรแท้ระบบทางเดินอาหาร
‘โปรไบโอติกส์’ (Probiotics) จุลินทรีย์ชนิดดีกับการช่วยเสริมภูมิคุ้มกันต่อต้านเชื้อโรค