ในปัจจุบันหากจะนึก ยาแก้แพ้ ที่ขายในท้องตลาดก็มีหลากหลายยี่ห้อ มีข้อบ่งชี้ ข้อควรระวังในการใช้ และส่วนประกอบของยาที่แตกต่างกัน ดังนั้นหากจะเลือกรับประทานยาแก้แพ้ สิ่งสำคัญเราต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับยาแก้แพ้ให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการรักษาอย่างเต็มประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยต่อตนเอง เนื่องจากมีหลายคนยังคงสงสัยว่ายาแก้แพ้ มีกี่ชนิด และยาแก้แพ้แท้ที่จริงแล้ว คืออะไร
ยาแก้แพ้ (Antihistamines) เป็นกลุ่มยาต้านสารฮีสตามีน มีคุณสมบัติในการยับยั้งตัวรับสารฮิสตามีนที่เป็นต้นเหตุของอาการแพ้ เช่น ภูมิแพ้ทางเดินหายใจ ภูมิแพ้ผิวหนัง ภูมิแพ้อาหาร และภูมิแพ้ทางดวงตา โดยยาแก้แพ้ สามารถแบ่งออกได้ 2 กลุ่ม คือ
เป็นยาแก้แพ้แบบดั้งเดิม เช่น คลอเฟนิลามีน ไดเฟนไฮดรามีน ไฮดรอกไซซีน และไดเมนไฮดริเนต ยากลุ่มนี้มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลางทำให้มีอาการง่วงซึม นอกจากมีผลข้างเคียงทำให้ง่วงแล้ว ยาชนิดนี้ยังมีฤทธิ์ต้านระบบประสาทชนิดโคลเนอร์จิก ทำให้เกิดอาการปากแห้ง คอแห้ง เสมหะและน้ำมูกเหนียวข้น ท้องผูก ปัสสาวะขัดในผู้ชาย แต่ยากลุ่มนี้ไม่สามารถควบคุมอาการแพ้ได้ตลอดทั้งวันจึงต้องรับประทานยาวันละหลายครั้ง
ยาแก้แพ้ชนิดนี้ถูกพัฒนามาจากชนิดเดิมเพื่อลดข้อบกพร่อง และได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถดูดซึมเข้าสู่สมองได้น้อยกว่าแบบเดิมจึงไม่ทำให้ง่วงซึม (หรือมีอาการง่วงซึมน้อยในผู้ใช้ยาบางราย) โดยยากลุ่มนี้จะมีประสิทธิภาพการออกฤทธิ์ประมาณ 24 ชั่วโมง เพราะสามารถจับกับตัวรับฮีสตามีนได้แน่นและนานขึ้น ทำให้ควบคุมอาการแพ้ได้ตลอดทั้งวัน และไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งจะแตกต่างจากยารักษาภูมิแพ้กลุ่มเก่าจึงสามารถรับประทานยาเพียง 1-2 เม็ดต่อวัน โดยกลุ่มยาแก้แพ้แบบไม่ง่วง ได้แก่ ลอราทาดีน (loratadine) เซทิริซีน (cetirizine) เป็นต้น
ถึงแม้ในท้องตลาดปัจจุบันจะมียาแก้แพ้ให้เลือกมากมายหลายยี่ห้อ แต่ส่วนประกอบในยาจะมีความแตกต่างกัน ดังนั้นหากจะต้องเลือกรับประทานจึงควรพิจารณาถึงประโยชน์ การรักษาอาการแพ้อย่างมีประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และเหมาะสมกับตัวเองให้มากที่สุด โดยยึดหลักดังต่อไปนี้
-