โรคกระดูกพรุน และ โรคข้อเสื่อม เป็น 2 โรคที่มาพร้อมกับอายุที่มากขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่ควรละเลย เพราะกระดูกและข้อ คือ อวัยวะที่สำคัญต่อการเคลื่อนไหวร่างกาย เมื่ออายุขึ้นเลข 3 เซลล์ต่างๆ ในร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพ เสียความสมดุลในร่างกาย ดังนั้นการดูแลกระดูกและข้อให้แข็งแรงในวัย 30 จึงต้องดูแลเป็นพิเศษและเสริม วิตามินบำรุงข้อ กระดูก เพื่อป้องกันโรคต่างๆ ที่จะตามมา
โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) คือ โรคที่ความหนาแน่นของมวลกระดูกน้อยลง หรือมีการสูญเสียมวลกระดูกจนทำให้กระดูกเปราะบางสามารถแตกหักได้ง่ายหากเกิดอุบัติเหตุ โดยโรคกระดูกพรุนสามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย แต่มักจะพบมาในผู้หญิงที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป เนื่องจากการลดลงของฮอร์โมเพศหญิง จะส่งผลทำให้การดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่กระดูกลดลง ความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุนก็จะมากขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้การรับประทานอาหารก็เป็นส่วนสำคัญเช่นกัน หากร่างกายไม่ได้รับแคลเซียมในปริมาณที่เพียงพอ จะส่งผลให้ร่างกายขาดแคลเซียม จนต้องไปดึงเอาแคลเซียมที่สะสมไว้ในกระดูกออกมาใช้ ทำให้เสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย
ข้อเสื่อม เป็นอีกหนึ่งโรคที่ไม่ควรละเลย มักจะพบมากในผู้สูงอายุและผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น ข้อเข่าเสื่อม โดยจะมีอาการปวดข้อเข่าขณะกำลังเคลื่อนไหว มีเสียงกร๊อบแกร๊บ ไม่สามารถเหยียดขาได้สุด งอเข่าไม่ได้ รู้สึกฝืดๆ หรือมีอาการติดขัดบริเวณข้อ ซึ่งมีผลทำให้การเคลื่อนไหวของข้อลดลง เกิดจากการเสื่อมสภาพของผิวกระดูกอ่อนบริเวณข้อตามกาลเวลา เมื่อผิวกระดูกอ่อนข้อเกิดการสึกหรอ กระดูกข้อจะมาชนกันจนทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรง หากปล่อยเอาไว้เป็นเวลานาน จะยิ่งทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา เช่น ข้อเข่าผิดรูป ขาโก่งงอ และไม่สามารถเดินใช้ชีวิตได้ตามปกติ
แคลเซียม (Calcium) สารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างมวลกระดูก อาหารที่มีแคลเซียมสูง ได้แก่ นม เต้าหู้ กุ้งฝอย ปลาตัวเล็ก ถั่วต่างๆ และผักใบเขียวอย่าง ผักคะน้า ผักกระเฉด ตำลึง เป็นต้น การรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงจะช่วยเสริมสร้างมวลกระดูกให้แข็งแรง เพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุน โดยปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายควรได้รับคือ 800-1,500 มิลลิกรัมต่อวัน แต่สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเองการรับประทานแคลเซียมเสริมก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่สะดวกและประหยัดเวลา นอกจากจะช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนแล้ว ยังช่วยคงระดับแคลเซียมในกระแสเลือด เพื่อรักษามวลกระดูกให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมอีกด้วย
คอลลาเจนชนิดที่ 2 (Collagen Type II) คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่ส่วนใหญ่พบในเซลล์กระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อ หากต้องการรับประทานคอลลาเจนเพื่อบำรุงและเสริมสร้างกระดูกอ่อนผิวข้อโดยเฉพาะ ควรเลือกเป็น ‘ไฮโดรไลเซต คอลลาเจน’ (Hydrolysate Collagen) ซึ่งเป็นคอลลาเจนที่ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ได้คอลลาเจนที่มีขนาดและความยาวสั้นลง ร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้ได้ดีขึ้น โดยมีผลการวิจัยทางการแพทย์ระบุว่าสามารถช่วยป้องกันและบรรเทาโรคข้อเสื่อมได้ เพื่อทดแทนคอลลาเจนที่สูญเสียไปในกระดูกอ่อน ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์กระดูกอ่อนให้มีจำนวนมากขึ้น เพิ่มน้ำเลี้ยงข้อ และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอบริเวณกระดูกข้อได้
อ่านต่อ : สูงวัย ทำไมต้องใส่ใจกระดูกและข้อมากกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม การเลือกบริโภคอาหารหรือ วิตามินบำรุงข้อ กระดูก ควรเลือกจากคุณภาพและปริมาณสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หากเป็นผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียมควรเลือกแคลเซียมคาร์บอเนตที่บรรจุอยู่ในรูปแบบแคปซูลนิ่มและควรมีส่วนผสมของวิตามินดีที่ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม ส่วนคอลลาเจนสำหรับกระดูกและข้ออาจเลือกได้ทั้งแบบแคปซูลนิ่มและแบบชงดื่ม แต่แบบชงดื่มจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดีกว่าจึงเหมาะสำกรับผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องการดูดซึม เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากสารอาหารได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ…ด้วยความห่วงใยจาก MEGA We care
https://www.nonthavej.co.th/Orthopedic-in-the-elderly.php
https://www.bumrungrad.com/th/treatments/treatment-of-osteoarthritis
https://amprohealth.com/magazine/collagen-type-ii/
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4970562/
https://www.webmd.com/vitamins/ai/ingredientmono-714/collagen-type-ii-native
https://www.bumrungrad.com/th/conditions/knee-osteoarthritis
https://www.bangkokinternationalhospital.com/th/health-articles/diseases-and-treatments/osteoarthritis-and-how-to-care