ยาแก้อักเสบ เป็นยาในกลุ่มช่วยลดอาการอักเสบ บรรเทาอาการปวด และบวม โดยมีทั้งยาแก้อักเสบกลุ่มสเตียรอยด์ และ กลุ่มที่ไม่มีสเตียรอยด์ ซึ่งยาแก้อักเสบนั้นมีหลายชนิดทั้งที่หาซื้อเองได้ตามร้านขายยาและชนิดที่ต้องได้รับใบสั่งยาจากแพทย์เท่านั้น หากใช้ยาผิดประเภท รับประทานยาเกินขนาดหรือผิดวัตถุประสงค์อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายได้ ผู้ที่ใช้ยาแก้อักเสบจึงควรทำความเข้าใจ เพื่อให้สามารถใช้ยาได้อย่างเหมาะสมและถูกวิธี
ยาแก้อักเสบ (Anti-inflammatory Drugs) เป็นยาที่ออกฤทธิ์ในการลดอาการอักเสบ ลดไข้ บรรเทาอาการปวด เช่น อาการปวดกล้ามเนื้อ หรือเอ็นอักเสบ เคล็ดขัดยอก กล้ามเนื้ออักเสบ ปวดประจำเดือน ปวดบวมหลังการถอนฟัน ฯลฯ แต่ยาแก้อักเสบจะไม่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส จึงใช้ในการบรรเทาอาการปวดและอักเสบในกรณีที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ โดยประเภทของยาแก้อักเสบนั้นแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ ยาแก้อักเสบกลุ่มที่มีสเตียรอยด์ และ ยาแก้อักเสบกลุ่มที่ไม่มีสเตียรอยด์ หรือ ที่เรียกกันว่า NSAIDs
ยาสเตียรอยด์ (Steroidal Anti-inflammatory Drugs : SAIDs) เป็นยาที่มีฤทธิ์ต้านอาการอักเสบ เช่น อาการปวด บวม แดง หรือแสบร้อนของเนื้อเยื่อในร่างกาย รวมถึงมีฤทธิ์ในการกดภูมิคุ้มกันและลดไข้ จึงมักใช้รักษาอาการปวดกล้ามเนื้อบางชนิดหรือโรคทางเดินหายใจที่มีการอักเสบของหลอดลม โดยแบ่งตามลักษณะการใช้งานได้ 2 รูปแบบ ได้แก่
อย่างไรก็ตาม ยาแก้อักเสบชนิดมีสเตียรอยด์นั้นอาจมีผลข้างเคียงต่อร่างกาย หากใช้นานเกินจำเป็น ใช้พร่ำเพรื่อหรือใช้ยาในขนาดสูงเกินไป จึงควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ผู้ให้การรักษา หรือ ปรึกษาเภสัชกรทุกครั้งหากมีความจำเป็นต้องซื้อยาสเตียรอยด์สำหรับใช้ทาภายนอกใช้เอง
ยากลุ่ม NSAIDs (Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs) คือ ยาแก้อักเสบ บรรเทาปวดระยะสั้นจากภาวะต่างๆ เช่น อาการปวดจากไข้ ไมเกรน ปวดกล้ามเนื้อระดับปานกลางถึงรุนแรง ปวดข้อ ปวดประจำเดือน โดยครอบคลุมไปถึงอาการปวด อักเสบ บวมแดง หรือขยับร่างกายลำบากจากภาวะอักเสบและแผลฟกช้ำ ซึ่งมีกลไกการออกฤทธิ์ของยาค่อนข้างเร็วและมีผลข้างเคียงน้อยกว่ายาแก้อักเสบชนิดมีสเตียรอยด์ ตัวอย่าง ยาแก้อักเสบกลุ่ม NSAIDs ที่พบบ่อยและหาซื้อเองได้ที่ร้านขายยา เช่น
นอกจากนี้ ยังมียาแก้อักเสบกลุ่ม NSAIDs อีกหลายชนิด แต่จำเป็นต้องได้รับใบสั่งยาและการแนะนำจากแพทย์ เช่น
โดยยาแต่ละชนิดมีกลไกการออกฤทธิ์และข้อบ่งใช้ที่แตกต่างกันออกไป ก่อนการใช้หรือหยุดใช้ยาจึงควรปรึกษาแพทย์ หรือสอบถามเภสัชกรก่อนทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยและการแพ้ยา
หลายคนมักเกิดความเข้าใจผิดว่ายาฆ่าเชื้อ คือ ยาแก้อักเสบ ตัวอย่างยาที่มักถูกเข้าใจผิดบ่อย เช่น ยาอะม็อกซีซิลิน (Amoxicillin) หรือที่เรียกกันว่า ยาแคปซูลเขียว-ฟ้า หรือ ยาแอมพิซิลิน (Ampicillin) ที่รู้จักกันว่า ยาแคปซูลดำ-แดง ซึ่งอันที่จริงแล้วยาเหล่านี้เป็น ยาฆ่าเชื้อ หรือ ยาปฏิชีวนะ ที่ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียบางชนิด ยาฆ่าเชื้อเหล่านี้จึงถูกใช้เมื่อมีอาการเจ็บคอ กลืนน้ำลายแล้วเจ็บ มีไข้ หรือมีจุดหนองในคอ คอบวมโตหรือกดเจ็บ หลายคนจึงเข้าใจว่ายาฆ่าเชื้อเป็นยาแก้อักเสบ เจ็บคอ นั่นเอง จึงแนะนำให้ปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนใช้ยาเพื่อการรักษาอย่างตรงจุดและปลอดภัย
คุณสมบัติ | ยาปฏิชีวนะ (Antibiotic) | ยาแก้อักเสบ (Anti-inflammatory Drugs) |
---|---|---|
ลดอาการอักเสบ | ✘ | ✔ |
ลดไข้ | ✘ | ✔ |
ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย | ✔ | ✘ |
ฆ่าเชื้อไวรัส | ✔ | ✘ |
แก้เจ็บคอ | ✘ | ✔ |
ต้องรับประทานต่อเนื่องจนหมด | ✔ | ✘ |
ยาแก้อักเสบเป็นยาที่สามารถใช้ได้กับคนหลายกลุ่ม โดยขึ้นอยู่กับชนิดของยาและภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล โดยมักใช้กับกลุ่มอาการเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถใช้ยาแก้อักเสบได้ เช่น ผู้ที่มีโรคกระเพาะอาหาร โรคหัวใจ หรือ โรคไตเรื้อรัง ผู้ที่วางแผนจะมีบุตร สตรีมีครรภ์ หรือ กำลังให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา
ยาแก้อักเสบควรใช้ให้ตรงตามจุดประสงค์ เนื่องจากยาแต่ละชนิดอาจมีคุณสมบัติที่คล้ายกัน จึงต้องจำเป็นต้องรู้ถึงวัตถุประสงค์ในการใช้ยาเป็นหลัก รวมถึงข้อควรปฏิบัติระหว่างใช้ยา ดังนี้
ยาแก้อักเสบสามารถลดอาการเจ็บปวด อาการไข้ และภาวะอักเสบลงได้ แต่ในบางกรณี อาจมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้นได้ เช่น
หากพบอาการหายใจลำบาก อาเจียนเป็นเลือด มีอุจจาระสีดำ แน่นหน้าอก กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือพูดไม่ชัด ควรรีบหยุดยาและไปพบแพทย์ทันที
ยาแก้อักเสบควรรับประทานหลังมื้ออาหาร เพื่อป้องกันการระคายเคืองกระเพาะอาหาร สำหรับผู้ที่มีไข้ไม่ควรรับประทานติดต่อกันเกิน 3 วัน และ ไม่ควรใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดนานเกิน 10 วัน เพราะอาจส่งผลเสียต่อร่างกาย ดังนั้นจึงควรรับประทานตามขนาดที่แพทย์และเภสัชกรแนะนำ
การใช้ยาแก้อักเสบ นอกจากจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และเภสัชกรแล้ว หากซื้อยาใช้เองทั่วไปควรเลือกใช้ให้ถูกวัตถุประสงค์ ไม่ใช้ยาพร่ำเพื่อ เพื่อป้องกันการดื้อยาและช่วยให้การบรรเทาอาการปวด อักเสบ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น