โรคเบาหวาน ต้องดูแลตัวเองอย่างไร

ภาวะเบาหวาน
ผู้ป่วย เบาหวาน ดูแลตัวเอง

เบาหวาน (Diabets) ถือว่าเป็นหนึ่งในโรคที่จัดอยู่ในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะถ้าไม่ดูแลอย่างใกล้ชิดโอกาสที่จะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมา

โรคแทรกซ้อนเรื้อรังที่เกิดกับคนที่เป็น เบาหวาน

คนที่เป็นโรคเบาหวานแต่ละคนจะมีความรุนแรงของโรคหรืออาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นแตกต่างกันโดยมีตัวแปรที่สำคัญก็คือ ระยะเวลาที่เป็นเบาหวาน และระดับน้ำตาลในเลือด หากสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงกับระดับปกติมากก็จะสามารถช่วยลดความรุนแรงของโรคแทรกซ้อนได้ โดยโรคแทรกซ้อนของผู้ป่วยโรคเบาหวานที่พบมาก ได้แก่

1.  โรคความดันโลหิตสูง

เป็นโรคที่พบได้มากในคนที่เป็นเบาหวาน และเมื่อเริ่มเป็นโรคความดันโลหิตสูงมักจะมีโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมาอีก เช่น โรคหัวใจ โรคไต โรคตา และโรคทางสมอง ซึ่งคนที่เป็นโรคเบาหวานควรควบคุมระดับความดันเลือดให้เป็นปกติ โดยการพบแพทย์เพื่อตรวจวัดระดับความดันของเลือด และหากยิ่งเป็นคนที่มีน้ำหนักเกิน หรือเป็นโรคอ้วนต้องควบคุมน้ำหนัก ด้วยการออกกำลังกายเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ งดดื่มแอลกอฮอล์ และเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ งดการรับประทานขนม อาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาล หรืออาหารที่มีหวานก็จะช่วยลดความดันโลหิตสูงได้

2.  โรคหลอดเลือดหัวใจ

โรคนี้ว่าเป็นโรคแทรกซ้อนที่คุกคามต่อชีวิตคนที่เป็นเบาหวานได้อย่างเฉียบพลัน เพราะจะมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกจากหลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ได้แก่ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดี ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ไม่ออกกำลังกาย น้ำหนักเกิน สูบบุหรี่ มีประวัติในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ และมีความเครียดเป็นประจำ

3.  โรคปลายประสาทเสื่อม

ถึงโรคนี้ไม่ทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ก็สร้างความรำคาญและทรมาน ซึ่งเกิดจากเส้นเลือดฝอยที่มาเลี้ยงเส้นประสาทถูกทำลายจนส่งออกซิเจนมาตามกระแสเลือดเพื่อไปเลี้ยงเส้นประสาทไม่ได้ และการมีน้ำตาลสะสมรวมตัวอยู่บริเวณเส้นประสาท จึงทำให้การทำงานของเส้นประสาทเสื่อมลง ความรู้สึกในการรับรู้ต่าง ๆ ลดลง โดยเป็นเฉพาะบริเวณปลายมือ ปลายเท้าจะมีอาการชา เมื่อถูกความร้อน หรือได้รับความเจ็บปวดจะไม่รู้สึก ซึ่งทำให้เป็นอันตรายกับคนที่เป็นโรคเบาหวาน เพราะอาจทำให้เกิดแผลต่าง ๆ เกิดได้ง่ายโดยไม่รู้สึกตัว และเมื่อเป็นมากขึ้นอาจทำให้กล้ามเนื้อลีบเล็กลงจนทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติไม่ได้  

นอกจากนี้ยังส่งผลต่อเส้นประสาทที่มาเลี้ยงบริเวณระบบทางเดินอาหาร ทำให้ท้องผูกโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยการรักษาอาการปลายประสาทเสื่อมจากโรคเบาหวานสามารถทำได้ด้วยการบำบัดตามอาการ แต่การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดจะช่วยลดความรุนแรงได้

วิธีดูแลตัวเองและป้องกันภาวะแทรกซ้อนของคนเป็น เบาหวาน

การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ คือสิ่งที่สำคัญของคนที่เป็นโรคเบาหวาน แต่จากสถิติถึงแม้จะพยายามควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติแล้ว แต่ก็ยังมีมากกว่า 20% ที่มีโอกาสเกิดอาการแทรกซ้อนได้ โดยระยะแรกมักจะพบปลายประสาทเสื่อม ชาปลายมือปลายเท้า และท้ายที่สุดในระยะต่อมาระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของหัวใจ ไต และการย่อยอาหารก็จะผิดปกติ โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้คนที่เป็นโรคเบาหวานต้องพยายามควบคุมน้ำหนัก และเสริมสารอาหารบางอย่างที่สำคัญในการลดโอกาสโรคแทรกซ้อน อย่างเช่น

1.  แอลฟา ไลโปอิค แอซิด (Alpha-Lipoic  Acid ; ALA)
สารอาหารชนิดนี้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายได้ทั้งในน้ำและไขมัน ช่วยปกป้องเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายจากสารอนุมูลอิสระ และลดโอกาสกาเกิดอาการแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานได้ดี โดยช่วยเสริมการออกฤทธิ์ของอินซูลินที่ใช้ในคนที่เป็นโรคเบาหวาน โดยการนำเอาน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ต่าง ๆ และเผาผลาญน้ำตาลเป็นพลังงาน จึงช่วยให้สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น

โดยในประเทศเยอรมันได้รับอนุญาตให้ใช้สารอาหารชนิดนี้รักษาอาการปลายประสาทเสื่อม และโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวาน เช่น ลดอาการปวดเจ็บ ปวดแสบ ปวดร้อน  ชาตามปลายมือปลายเท้า ซึ่งแอลฟา ไลโปอิค แอซิด สามารถพบได้จากแหล่งอาหารธรรมชาติ เช่น เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ผักโขม และมันฝรั่ง

2.  สารอาหารกลุ่มวิตามินบี
วิตามินบี 1 วิตามินบี 6 กรดโฟลิค และวิตามินบี 12 เป็นสารอาหารที่ช่วยบำรุงระบบประสาทและซ่อมแซมเส้นประสาท ช่วยลดอาการชาปลายมือปลายเท้าได้ โดยมีงานวิจัยในต่างประเทศระบุว่า “หากร่างกายได้รับวิตามินบี 12 วันละ 1,500 ไมโครกรัม ต่อเนื่อง 12 สัปดาห์ สามารถช่วยรักษาอาการระบบประสาทอักเสบ และยังมีส่วนช่วยในการดูแลซ่อมแซมเยื่อหุ้มประสาทได้”

อ่านต่อ : วิตามินบีสำคัญกับร่างกายอย่างไร

3.  สารต้านอนุมูลอิสระ
คนที่เป็นโรคเบาหวานจะมีอนุมูลอิสระในร่างกายปริมาณสูงมาก จึงทำให้อวัยวะในร่างกายต่าง ๆ เสื่อมได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นการรักษาระบบประสาทอักเสบที่ต้นเหตุจึงจำเป็นต้องใช้กลุ่มสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อช่วยป้องกัน หรือลดภาวะอาการแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน โดยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยรักษาอาการชาและระบบประสาทอักเสบ ได้แก่ วิตามินอี สังกะสี โครเมียม คอปปเปอร์ และแคโรทีนอยด์  

นอกจาการควบคุมระดับน้ำตาล และเสริมด้วยสารอาหารบางอย่างตามที่ได้แนะนำไปข้างต้น วิธีดูแลตัว และป้องกันภาวะแทรกซ้อนของคนเป็นโรคเบาหวานที่ควรปฏิบัติยังรวมไปถึง

  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินด้วยการจำกัดการรับประทานของหวาน อาหารประเภทแป้ง
    และคาร์โบไฮเดรตต่าง ๆ ให้น้อยลง
  • รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง โดยเพิ่มปริมาณการรับประทานผักใบเขียวให้มากขึ้น ส่วนผลไม้ให้เลือกรับประทานเฉพาะผลไม้ที่มีรสหวานพอที่พอเหมาะ เช่น ฝรั่ง แก้วมังกร มะละกอ สับปะรด แตงโม
  • ออกกำลังกายเพิ่มขึ้น สิ่งนี้สำคัญในการช่วยควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้เกินมาตรฐาน โดยคนที่เป็นเบาหวานควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดินเร็ว ปั่นจักรยาน หรือเต้นแอโรบิก ครั้งละประมาณ 30 นาที ให้ได้ 3-5 ครั้ง/สัปดาห์
  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่อ้วนเกินไป หรือผอมเกินไป
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เนื่องจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาจมีผลข้างเคียงกับยาที่ใช้รักษาโรคเบาหวานได้ รวมทั้งในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางชนิดจะมีปริมาณแคลอรี่ที่สูง
  • หยุดสูบบุหรี่เด็ดขาด เนื่องจากสารพิษหลายร้อยชนิดในบุหรี่จะเพิ่มความเสี่ยงโอกาสของการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดให้มากยิ่งขึ้น





อ้างอิง

-

อัลบั้มภาพ

ข่าวสุขภาพอื่นๆ

โรคแทรกซ้อนจากเบาหวาน

อัลฟา ไลโปอิก แอซิด (Alpha-Lipoic Acid) สารอาหารต้านโรคเบาหวาน

โรคแทรกซ้อนจากเบาหวาน

4 สารอาหารที่สำคัญสำหรับคนเป็นเบาหวาน

ภาวะเบาหวาน

โรคเบาหวานต้องดูแลตัวเองอย่างไร