เนื่องจากส่วนใหญ่ผู้ป่วยไม่ทราบว่าตนเองป่วยเป็นกลุ่มโรค NCDs จึงไม่ได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสม จนทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็น โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคเบาหวาน โรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคไตเรื้อรัง โรคตับแข็ง และ โรคมะเร็งต่างๆ เป็นต้น การดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันความเสี่ยงโรคเรื้อรัง นอกจากการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตแล้ว วิตามินอี (Vitamin E) ยังเป็นอีกหนึ่งวิตามินที่มี ‘ประโยชน์’ ต่อการควบคุมกลุ่มโรค NCDs ด้วย
โรค NCDs (non-communicable diseases) คือ กลุ่มโรคชนิดไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่งไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อโรคและไม่แพร่กระจายจากคนสู่คน ผ่านทางการสัมผัสหรือการหายใจ แต่เป็นกลุ่มโรคที่เกิดจากนิสัยหรือพฤติกรรมการดำเนินชีวิตที่ไม่เหมาะสมเป็นระยะเวลานาน จึงทำให้เกิดการสะสมอาการอย่างต่อเนื่องจนก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา เมื่อมีอาการป่วยด้วยกลุ่มโรคเหล่านี้ อาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาตลอดชีวิต หรือปรับพฤติกรรมระยะยาวเพื่อควบคุมโรค โดยโรคในกลุ่ม NCDs ที่พบได้บ่อยในคนไทย เช่น
เนื่องจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) สาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตทั้งการบริโภค ได้แก่
การดูแลสุขภาพของผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง รวมถึงผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเหล่านี้ โดยเฉพาะวัยทำงาน พนักงานออฟฟิศ รวมถึงผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และต้องเผชิญกับมลภาวะเป็นประจำ นอกจากจะต้องหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรคแล้ว การได้รับวิตามินหรือสารอาหารบางชนิดอาจช่วยควบคุมโรคเรื้อรังที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะ วิตามินอี (Vitamin E) มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าโทโคฟีรอล (Tocopherol) เป็นวิตามินที่ละลายในไขมันได้ดี มีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์ต่างๆ ไม่ให้ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ อีกทั้งยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดี ลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน และ ประโยชน์ ในการป้องกันการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ ได้อีกด้วย
1. ประโยชน์ ต่อโรคความดันโลหิตสูง
วิตามินอี ช่วยให้หลอดเลือดคลายตัว และมีความยืดหยุ่นขึ้น ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือดทั่วร่างกายดีขึ้น ลดความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพ เช่น อาการปวดหัว ไมเกรน ปวดเมื่อย และปัญหาการนอนหลับ รวมถึงช่วยป้องกันการแตกของเม็ดเลือด และป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดได้
2. ประโยชน์ ต่อโรคไขมันพอกตับ
เนื่องจากวิตามีนอี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทำให้เกิดการอักเสบและการตายของเซลล์ตับ การได้รับวิตามินอีอย่างเพียงพอ หรือรับประทานวิตามินอีเสริมกับโอเมก้า 3 มีส่วนช่วยในการลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ ไขมันในเลือด และ ลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะไขมันพอกตับ จากการได้รับสารพิษหรืออนุมูลอิสระที่เข้าสู่ร่างกายได้
3. ประโยชน์ ต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
วิตามินอี มีประโยชน์ในการช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ และป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ทำให้หลอดเลือดที่ไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีงานวิจัยที่พบว่า วิตามินอีสามารถป้องกันหรือชะลอโรคหลอดเลือดหัวใจได้ เนื่องจากวิตามินอีจะเข้าไปช่วยลดการเกิดกระบวนการออกซิเดชันของคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ช่วยให้การเกาะตัวกันของเกล็ดเลือดลดลง เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจทำงานดีขึ้น และลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคระบบหลอดเลือดหัวใจได้ นอกจากนี้ การได้รับวิตามินอีธรรมชาติวันละ 400-800 IU อย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดการเกิดโรคหัวใจวายได้ถึง 77%
4. ประโยชน์ ต่อโรคเบาหวาน ผู้ป่วยเบาหวานมีอนุมูลอิสระในร่างกายปริมาณสูงมาก จึงทำให้เกิดการเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นการใช้สารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินอี จะช่วยป้องกันหรือลดภาวะอาการแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน และการเสริมวิตามินอีในผู้ป่วยเบาหวานอาจส่งผลดีต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด อ่านต่อ : โรคเบาหวานต้องดูแลตัวเองอย่างไร
สำหรับผู้ที่ต้องการวิตามินอีเพิ่มขึ้น เพื่อประโยชน์ในการป้องกันโรค หรือผู้ที่มีปัญหาในการดูดซึมสารอาหาร ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรรับประทานในปริมาณ 40 – 200 IU ต่อวัน และ ไม่ควรรับประทานมากกว่า 1,500 IU ต่อวัน โดยปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร ถึงปริมาณที่เหมาะสมก่อนรับประทาน
การได้รับวิตามินอีนอกจากจากแหล่งอาหารธรรมชาติ เช่น น้ำมันพืช ผักใบเขียว และธัญพืชต่างๆ แล้ว ยังสามารถได้รับวิตามินอีจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้ ซึ่งโดยปกติร่างกายจะสามารถทนกับวิตามินอีได้ค่อนข้างสูง ซึ่งผลข้างเคียงอาจเกิดขึ้นได้เมื่อรับวิตามินอีที่ 800 IU ขึ้นไป โดยมีอาการแสดง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย อ่อนเพลีย มึนงง เป็นต้น ดังนั้นหากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม ย่อมไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย เว้นแต่ผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือรับประทานยารักษาโรคบางชนิด จึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทาน
จะเห็นได้ว่า กลุ่มโรค NCDs นั้น เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องรักษาในระยะยาว การควบคุมโรคที่ดีที่สุด คือ การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต รับประทานอาหารที่เหมาะสมกับโรค รวมถึงการเสริมภูมิกันให้แข็งแรง อย่างการเสริมการรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินอีหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีวิตามินอีจากธรรมชาติ ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อการชะลอความเสื่อมของเซลล์และช่วยให้การควบคุมโรคมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หากมีโรคเรื้อรังหรือโรคประจำตัวควรรับประทานยาและดูแลตนเองตามที่แพทย์แนะนำ หากต้องการรับประทานวิตามินอี เพื่อประสิทธิภาพในการรักษาโรค สามารถปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนรับประทาน