ในปัจจุบันมีคนจำนวนไม่น้อยที่ต้องป่วยและเสียชีวิตก่อนวัยอันควรด้วยโรค NCDs หรือโรคที่สร้างขึ้นด้วยตัวเอง ที่มีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม ซึ่งกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยไม่ทราบว่าตัวเองป่วยเป็นกลุ่มโรคดังกล่าว จึงไม่ได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสมอย่างทันท่วงที จนทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว โดยจากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่า ตลอดช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมามีคนไทยป่วยด้วยโรค NCDs ถึง 14 ล้านคน เสียชีวิตกว่า 300,000 คนต่อปี คิดเป็นเสียชีวิตเฉลี่ยชั่วโมงละ 37 คน และมีแนวโน้มการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเสียชีวิตก่อนอายุ 60 ปี
โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือที่หลายคนคุ้นเคยกันในชื่อภาษาอังกฤษว่า โรค NCDs เป็นกลุ่มโรคที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อโรค และไม่ได้ติดต่อจากคนสู่คนผ่านทางการสัมผัสหรือการหายใจ แต่เป็นโรคที่เกิดจากการใช้ชีวิตอย่างไม่เหมาะสมเป็นระยะเวลานาน ทำให้เกิดการสะสมอาการอย่างต่อเนื่อง จนก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา และเมื่อมีอาการป่วยอาจต้องได้รับการรักษาตลอดชีวิต เนื่องจากอาการเรื้อรังของโรค
กลุ่มโรคติดต่อไม่เรื้อรัง (NCDs) มีชื่อเรียกอีกอย่างคือ โรควิถีชีวิต เนื่องจากปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตเป็นส่วนใหญ่ทั้งการบริโภคอาหารที่มีพลังงานสูง รับประทานอาหารที่มีรสหวานจัด เค็มจัด อาหารที่มีไขมันสูง ดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่เป็นประจำ รวมไปถึงความเครียด และมลพิษที่ต้องเจอในแต่ละวัน ทั้งหมดล้วนเป็นสาเหตุที่จะนำไปสู่กลุ่มโรคเรื้อรังดังกล่าวได้ โดยโรคในกลุ่ม NCDs ที่พบได้บ่อยในคนไทย ได้แก่
นอกจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตแล้ว การเสริมสารอาหารที่มีส่วนช่วยในการป้องกัน และฟื้นฟูอาการของโรคเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผู้เชียวชาญแนะนำ โดยเฉพาะ “วิตามินอี” ที่มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ และช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆในร่างกายอย่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิตามินอี (Vitamin E) หนึ่งวิตามินพื้นฐานที่จำเป็นต่อร่างกาย และเป็นวิตามินตัวแรกที่ผู้เชียวชาญแนะนำให้ทานเสริม มีประโยชน์รอบด้านทั้งสุขภาพและความงาม โดยวิตามินอีถือเป็นสารต้านอนุมูลสระที่มีประสิทธิภาพ ช่วยปกป้องเซลล์ต่างๆไม่ให้ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ ซึ่งการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน ต้องเจอกับสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างอนุมูลอิสระมากเกินความจำเป็น ทำให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ของระบบร่างกาย ดังนั้นการมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เพียงพอ จะช่วยปกป้องเซลล์ต่างๆ จากการถูกทำลาย ป้องกันการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ
1. วิตามินอี (Vitamin E) กับเบาหวาน
ผู้ป่วยเบาหวานมีอนุมูลอิสระในร่างกายปริมาณสูงมาก จึงทำให้เกิดการเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นการใช้สารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินอีจะช่วยป้องกันหรือลดภาวะอาการแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน และการเสริมวิตามินอีในผู้ป่วยเบาหวาน จะส่งผลดีต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอีกด้วย อ่านต่อ: โรคเบาหวานต้องดูแลตัวเองอย่างไร
2. วิตามินอี (Vitamin E) กับโรคหัวใจและสมอง
วิตามินอีจะช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ และป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ทำให้หลอดเลือดที่ไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงช่วยลดอัตราเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองและโรคหัวใจ
3. วิตามินอี (Vitamin E) กับความดันโลหิตสูง
วิตามินอี ช่วยให้หลอดเลือดคลายตัว จึงช่วยลดความดันโลหิต ทั้งความดันในขณะที่หัวใจบีบตัว และคลายตัว ป้องกันการแตกของเม็ดเลือด ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด และต่อต้านสารอนุมูลอิสระ
4. วิตามินอี (Vitamin E) กับโรคไขมันพอกตับ
วิตามินอีมีคุณสมบัติในการปกป้องเซลล์ต่างๆ ไม่ให้ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ พร้อมช่วยกำจัดไขมันไม่ดีในร่างกาย จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะไขมันพอกตับ และลดความเสียหายของตับจากการได้รับสารพิษหรืออนุมูลอิสระเข้าสู่ร่างกาย
-