ตาแห้ง (Dry Eye) จัดเป็นโรคตาที่มีความผิดปกติจากการทำงานประเภทหนึ่ง โดยอดีตมักพบเฉพาะในผู้สูงอายุ ที่มีความเสื่อมของร่างกาย แต่ปัจจุบันเริ่มพบมากขึ้นในกลุ่มคนทำงาน หรือนักศึกษา ที่ต้องจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ รวมไปถึงการจ้องจอสมาร์ทโฟน แทปเลตและเกทเจ็ทต่างๆ ติดต่อกันเป็นเวลานานเฉลี่ยมากกว่า 4-6 ชั่วโมงต่อวัน รวมถึงคนที่สวมใส่คอนแทคเลนส์ต่อเนื่องมาเป็นเวลานานหลายปี
จากข้อมูลสถิติจากคนมากกว่า 42 ประเทศทั่วโลก มีคนมากกว่า 378 ล้านคนที่ต้องเข้ารับการรักษาโรคตาแห้ง ซึ่งโรคนี้เกิดจากดวงตาขาดสารหล่อลื่นและมีความชุ่มชื้นไม่เพียงพอ โดยก่อให้เกิดการระคายเคืองตา แสบตา ไม่สบายตา ตาแห้งลุกลามไปจนถึงการอักเสบของดวงตามากขึ้น หากปล่อยไว้ไม่ดูแลอาจส่งผลให้เยื่อบุตาอักเสบ ตาแดง และหากตาแห้งมากๆ มีโอกาสที่กระจกตาจะถลอกหรือเป็นแผลเกิดการติดเชื้อได้ง่าย
โรคตาแห้ง (Dry Eye Disease) คือ ภาวะที่น้ำตามีปริมาณไม่เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงผิวตาให้ความชุ่มชื้นเท่าที่ควรและเคลือบกระจกตาดำได้ไม่เพียงพอ หรือน้ำตามีคุณภาพไม่ดี ไม่คงตัว จึงไม่สามารถรักษาความชุ่มชื้นของดวงตาไว้ได้ จึงทำให้เกิดอาการอักเสบ อาการระคายเคืองตา และอาจทำให้เกิดการทำลายพื้นผิวดวงตาได้
ตาแห้ง สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ซึ่งหลักๆ อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยภายในและภายนอก โดยปัจจัยภายในร่างกายมักเกิดจากความผิดปกติในร่างกายที่ส่งผลต่อการผลิตน้ำตา เช่น ต่อมน้ำตาทำงานผิดปกติโดยกำเนิด ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเพศหญิงเมื่ออยู่ในวัยหมดประจำเดือนที่ทำให้การผลิตน้ำตามีแนวโน้มลดลง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรครูมาตอยด์ หรืออาการแพ้ยารุนแรงและเกิดการอักเสบจนทำให้ท่อน้ำตาจากต่อมน้ำตาตัน กระจกตาอักเสบหรือมีการรับรู้ผิดปกติ เป็นต้น นอกจากนี้สภาพแวดล้อมและพฤติกรรมทำร้ายสุขภาพดวงตายังเป็นอีกปัจจัยหลักที่ทำให้ตาแห้ง ระคายเคือง ตาล้า และทำให้กระจกตาเสื่อมลง ได้แก่
แพทย์เชี่ยวชาญเกี่ยวกับดวงตาทั่วโลก รวมถึง Dr. Akpek Esen ศาสตราจารย์ทางด้านจักษุวิทยาและผู้อำนวยการของ Johns Hopskins Medicine สถาบันที่เชี่ยวชาญโรคตาในสหรัฐอเมริกาได้แนะนำวิธีแก้ปัญหาโรคนี้ด้วยตัวเอง ซึ่งได้ผลและทำได้ง่ายๆ โดยเริ่มจาก
1. การกะพริบเป็นประจำ
การกะพริบตาเป็นการสร้างความชุ่มชื้นให้กับดวงตาได้แบบธรรมชาติ และควรกะพริบตาในแต่ละครั้งให้ได้เฉลี่ยอย่างน้อย 8-15 ครั้งต่อนาที
2. พักสายตาทุกๆ 20 นาที
การนั่งจ้องจอคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน ถือเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนทำงานเกิดอาการตาแห้งได้มากที่สุด ดังนั้นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำเทคนิคที่จะช่วยดูแลสุขภาพดวงตาได้โดยใช้สูตร 20-20-20 ซึ่งสูตรนี้แนะนำให้ละสายตามองไกลไป 20 ฟุต ค้างไว้เป็นเวลา 20 วินาทีในทุกๆ 20 นาที
3. หลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพแวดล้อมหรืออากาศที่แห้ง
การทำงานในห้องแอร์ที่แห้ง สภาพแวดล้อมที่เย็นหรือมีฝุ่นควัน ฝุ่น PM 2.5 แสงแดดและมลภาวะต่างๆ สามารถทำให้ตาแห้งได้ง่ายกว่าปกติ ซึ่งคนทำงานส่วนใหญ่ต้องทำงานในห้องปรับอากาศ ความสะอาดของอากาศภายในห้อง ฝุ่นในชั้นบรรยากาศล้วนเป็นปัจจัยทำให้เกิดโรคตาแห้งทั้งสิ้น จึงควรหลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมดังกล่าว แต่หากจำเป็นควรสวมใส่แว่นตากันแดดหรือหากรู้สึกระคายเคืองตา ควรใช้ยาหยอดตาหรือน้ำตาเทียมตามที่แพทย์แนะนำ
4. การใช้น้ำตาเทียมหยอดตา
การใช้น้ำตาเทียมหยอดตาเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยแก้ตาแห้งได้ชั่วคราว โดยเฉพาะระหว่างทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรืออ่านหนังสือเป็นเวลานาน ซึ่งน้ำตาเทียมแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดที่มีสารกันเสียและชนิดที่ไม่มีสารกันเสีย หากเป็นชนิดที่ไม่มีสารกันเสียสามารถหยอดได้ตามความต้องการหรือทุกครั้งที่มีอาการ แต่หากเป็นชนิดที่มีสารกันเสีย ไม่ควรหยอดบ่อยเกินไป (4 ชั่วโมงไม่ควรหยอดเกิน 1 ครั้ง หรือไม่ควรหยอดเกิน วันละ 4-6 ครั้ง)
5. การใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบ
การใช้น้ำอุ่นซึ่งมีอุณหภูมิที่พอเหมาะมาประคบดวงตาจะช่วยให้เปลือกตาผลิตไขมันมากขึ้น และสามารถบรรเทาอาการตาแห้งได้ แต่ข้อควรระวัง คือ น้ำที่นำมาประคบต้องไม่ร้อนจนเกินไป เพราะหากน้ำมีความร้อนมากเกินไปอาจส่งผลให้เกิดการอักเสบแดงบริเวณเปลือกตาที่เป็นผลมาจากความร้อนได้ รวมถึงผ้าที่นำมาประคบก็ต้องสะอาดเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการติดเชื้อบริเวณดวงตาได้
6. รับประทานสารอาหารที่จำเป็น
หนึ่งในวิธีที่วงการแพทย์ยอมรับว่าสามารถป้องกันได้ คือ การรับประทานสารอาหารที่จำเป็นในการบำรุงดวงตาหรือวิตามินตา จากรายงานการวิจัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกพบว่า การได้รับสารอาหารที่มีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น การบริโภคผักผลไม้หลากสีจะช่วยบำรุงดวงตาป้องกันการเสื่อมได้ โดยสารอาหารที่ช่วยดูแลดวงตาที่สำคัญหลักๆ ได้แก่
นอกจากนี้ ยังมีสารอาหารบำรุงดวงตาในรูปแบบอาหารเสริมหรือวิตามินตาที่มีสารสกัดที่จำเป็นต่อดวงตาโดยเฉพาะ แต่การรับประทานวิตามินในรูปแบบอาหารเสริมควรคำนึงถึงมาตรฐานการผลิต ปริมาณของสารสกัดใน 1 เม็ด ตลอดจนคุณภาพของวัตถุดิบ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและป้องกันอันตรายจากสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน
โรคตาแห้ง แสบตา น้ำตาไหล ตาล้า ถึงแม้อาการเหล่านี้จะไม่ใช่อาการที่รุนแรง แต่ก่อให้เกิดความรำคาญกับการใช้ชิวิตประจำวัน และหากไม่ป้องกันดูแลก็มีโอกาสที่จะทำให้จอประสาทตาเสื่อมลงโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นหากรู้สึกตาแห้ง ตาล้า
แสบตา หรือมีความผิดปกติเป็นเวลานานควรเข้าพบจักษุแพทย์เพื่อทำการรักษาอย่างถูกต้อง รวมถึงควรดูแลสุขภาพดวงตาด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ พักสายตา และปฏิบัติตามที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ พร้อมบำรุงตาด้วยการรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง จะช่วยให้ดวงตาชุ่มชื้นขึ้นและชะลอความเสื่อมของจอประสาทตาได้