หลายคนอาจคุ้นเคยกับวิตามินที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการบำรุงผมอย่าง ไบโอติน (Biotin) เพราะมักเป็นส่วนผสมที่อยู่ในผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผมหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น แชมพู ครีมนวด ทรีทเมนต์ เซรั่มบำรุงผม หรือแฮร์โทนิคต่างๆ โดยทั่วไปไบโอตินมักถูกนำมาใช้งานภายนอก แต่ในความเป็นจริงแล้วเราสามารถได้รับไบโอตินจากแหล่งอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งจะช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรงจากภายในและยังช่วยให้โครงสร้างเส้นผมแข็งแรง ไม่ขาดหลุดร่วงง่ายอีกด้วย
ไบโอติน (Biotin) คือ วิตามินละลายน้ำชนิดหนึ่งในกลุ่มของวิตามินบี หรือที่เรียกว่า วิตามินบี 7 (Vitamin B7) หรือ วิตามินเอช (Vitamin H) ซึ่งเป็นความสำคัญในการเจริญเติบโตของเซลล์ ระบบเผาผลาญอาหาร และการเสริมสร้างเคราติน (Keratin) ที่เป็นโครงสร้างของเส้นผม เล็บ และผิวหนัง หากร่างกายขาดไบโอตินอาจทำให้มีอาการผิดปกติ เช่น ผมร่วงเยอะมากกว่าปกติ ผมบางลง ผมหงอกก่อนวัย ผิวแห้ง เล็บเปราะหักง่าย เป็นต้น
วิตามินบี 7 วิตามิน H หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ไบโอติน (Biotin) ทำหน้าที่เป็นโคเอนไซม์ (Co-enzyme) หรือตัวร่วมเร่งปฏิกิริยาทางชีวเคมีต่างๆ ดังนี้
การขาดไบโอติน แม้ว่าจะเกิดขึ้นได้น้อย แต่สามารถสังเกตอาการของภาวะนี้ได้ เช่น ผมบางจากการที่ผมร่วงเยอะมากกว่าปกติ ผิวอักเสบ มีผื่นแดงรอบดวงตา จมูก และปาก หรือโรคเบาหวานที่ส่งผ
เนื่องจากไบโอตินเป็นโคเอนไซม์ (Co-enzyme) ชนิดหนึ่งที่สำคัญต่อร่างกาย โดยเฉพาะ เส้นผม เล็บ และผิวหนัง รวมถึงกระบวนการทางชีวเคมีในร่างกาย โดยเป็นสารตั้งต้นในกระบวนการสร้างเซลล์ใหม่และการแบ่งเซลล์ จึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพในด้านต่างๆ ดังนี้
1. ประโยชน์ต่อระบบเผาผลาญ
ไบโอตินมีประโยชน์ในการช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดีขึ้น โดยจะช่วยให้การเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตเป็นกลูโคสและใช้เป็นพลังงานของร่างกาย รวมถึงช่วยให้ร่างกายสามารถนำไขมันมาใช้ประโยชน์ได้ดีขึ้น และยังเป็นสารตั้งต้นของสารสำคัญในร่างกายอื่นๆ ได้ดีขึ้นอีกด้วย
2. ประโยชน์ต่อสุขภาพ
หากร่างกายขาดสารอาหาร น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว ผมร่วงมากกว่าปกติ มีผื่นขึ้นรอบๆ ดวงตา จมูก และปาก อาจสันนิษฐานได้ว่ากำลังมีภาวะขาดไบโอติน ถึงแม้ว่าจะพบภาวะนี้ได้น้อยเพราะร่างกายสามารถสร้างไบโอตินขึ้นเองได้
และได้รับจากการรับประทานอาหารอย่างเพียงพอ แต่ในกรณีคุณแม่ตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรือคุณแม่ที่มีภาวะผมร่วงหลังคลอดควรได้รับไบโอตินในปริมาณที่มากขึ้น รวมถึงผู้ที่ต้องการบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง เงางาม ควรรับประทานอาหารที่มีไบโอติน
อย่างเพียงพอด้วย
3. ประโยชน์ต่อการบำรุงเส้นผม
ไบโอตินเป็นวิตามินสำคัญในการบำรุงเส้นผมที่ร่างกายได้รับจากอาหารที่รับประทานและวิตามินในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งไบโอตินเป็นสารตั้งต้นที่ช่วยให้เคราตินซึ่งเป็นโครงสร้างของเส้นผมแข็งแรงขึ้น เมื่อโครงสร้างผมแข็งแรงจึงทำให้ผมร่วงหรือผมเปราะขาดลดน้อยลง ทั้งนี้ควรพิจาณาปัจจัยอื่นที่เป็นสาเหตุของผมร่วงด้วย เช่น การใช้ความร้อนกับเส้นผม การทำสีและใช้สารเคมี การรับประทานยาบางชนิดและโรคประจำตัว เป็นต้น
อ่านต่อ : ผมร่วง เกิดจากอะไร มีวิธีแก้อย่างไรบ้าง
โดยปกติแล้วคนเราได้รับไบโอตินในแต่ละวันประมาณ 100-150 ไมโครกรัม จากการสังเคราะห์แบคทีเรียในลำไส้ใหญ่และได้จากการรับประทานอาหาร ซึ่งไบโอตินสามารถพบได้ในอาหารหลากหลายประเภท แต่จะมีปริมาณน้อยกว่าวิตามินละลายน้ำชนิดอื่น โดยอาหารที่พบไบโอตินมากที่สุด ได้แก่
การเลือกรับประทานไบโอตินเสริมในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อบำรุงเส้นผม แนะนำให้รับประทาน 600-2,400 ไมโครกรัม ส่วนในกรณีที่ผมขาดร่วงมาก ตามงานวิจัยควรได้รับไบโอติน 2,500-3,000 ไมโครกรัม ต่อวัน ร่วมกับแร่ธาตุสังกะสี อย่างน้อย 15 มิลลิกรัมต่อวัน กยังไม่มีรายงานการเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงต่อร่างกาย เนื่องจากไบโอตินไม่เกิดการสะสมที่เนื้อเยื่อชั้นไขมันจึงสามารถขับออกได้ทางปัสสาวะและไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ นอกจากนี้ การรับประทานไบโอตินเพื่อการบำรุงผมยังสามารถรับประทานร่วมกับวิตามินและแร่ธาตุชนิดอื่น เช่น แร่ธาตุสังกะสี เหล็ก วิตามินบี6 และวิตามินซี ที่จะช่วยให้การเจริญเติบโตของเส้นผมมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การรับประทานไบโอตินเพื่อเสริมอาหารและการบำรุงผมให้แข็งแรง ควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนรับประทาน โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือรับประทานยาบางชนิด เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างพอเหมาะหรือหากต้องการลดการขาดร่วงของเส้นผม นอกจากการรับประทานไบโอตินที่พร้อมด้วยแร่ธาตุสังกะสี ธาตุเหล็ก วิตามินบี 6 เสริมแล้วอาจเลือกใช้ Hair Tonic หรือสเปรย์ที่ช่วยบำรุงผมจากภายนอกร่วมด้วย รวมถึงรักษาความสะอาดของหนังศีรษะและสุขภาพเส้นผมอยู่เสมอ เพื่อให้สุขภาพหนังศีรษะสะอาดและผมดูสวยสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น