น้ำมันคริลล์ หรือ Krill Oil เป็นอีกหนึ่งสารอาหารที่อุดมไปด้วยกรดไขมันจำเป็นต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น Omega-3, 6 และ 9 ที่ส่งผลดีต่อหัวใจและหลอดเลือด ชะลอความเสื่อมและป้องกันการอักเสบในร่างกาย รวมถึงมีประโยชน์ในการส่งเสริมการลดระดับไขมันในเลือดสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในภาวะปกติ
น้ำมันคริลล์ (Krill oil) เป็นน้ำมันสกัดจากสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายกุ้งมีขนาดเล็ก 1 – 14 ซม. ลำตัวเกือบใสและมีจุดสีแดงเล็ก ๆ ซึ่งเกิดจากส่วนประกอบของสารต้านอนุมูลอิสระ Astaxanthin นอกจากนี้ คริลล์ยังเป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วย Omega-3 ที่ดีต่อหัวใจและหลอดเลือด อีกทั้ง Astaxanthin ในคริลล์ยังช่วยปกป้อง Omega-3 ในน้ำมันคริลล์ไม่ให้เสื่อมสภาพได้ง่าย มีศักยภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระได้สูงกว่าวิตามินซี 6,000 เท่า มากกว่าวิตามินอี 550 เท่า น้ำมันคริลล์ จึงถือเป็นแหล่งของกรดไขมันดีที่มาพร้อมกับสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีคุณภาพและมีประโยชน์ต่อสุขภาพโดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
คริลล์ ออย หรือ น้ำมันคริลล์ อุดมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหารที่มีประโยชน์ครอบคลุมสุขภาพในหลายๆ ด้าน ดังนี้
1. ให้กรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้
ในน้ำมันคริลล์ (Krill Oil) อุดมไปด้วย กรดไขมันจำเป็น (Essential Fatty Acid) ที่มีประโยชน์ต่อพัฒนาการ และ การทำงานของสมอง หัวใจ ดวงตา ผิวพรรณ รวมถึง ระบบสืบพันธุ์ ได้แก่
2. ประโยชน์ต่อระดับไขมันในเลือด
ในน้ำมันคริลล์อุดมไปด้วยกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ได้แก่ Omega-3, 6 และ 9 ที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้ดีและส่งเสริมการลดระดับไขมันในเลือดสูงให้อยู่ในระดับปกติได้ นอกจากนี้ แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) ยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ป้องกัน และชะลอความเสื่อมของหลอดเลือดแดง โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันในเลือดสูง อ่านต่อ
3. ประโยชน์ต่อการบำรุงสุขภาพหัวใจ
เนื่องจากในน้ำมันคริลล์นั้นอุดมไปด้วยกรดไขมัน Omega-3 ซึ่งมีข้อมูลจากการศึกษาพบว่า Omega-3 มีความเชื่อมโยงกับการอักเสบที่ลดลง โดยช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ และ ช่วยให้การทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือดดีขึ้น นอกจากนี้ น้ำมันคริลล์ยังมีประโยชน์ต่อต่อสุขภาพหัวใจในผู้ป่วยเบาหวาน โดยการรับประทานน้ำมันคริลล์ วันละ 1,000 มิลลิกรัม จะช่วยเพิ่มระดับไขมันคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL- cholesterol) และ ลดปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
4. ประโยชน์ในการชะลอวัย
กรดไขมัน Omega-3 ในน้ำมันคริลล์ ทั้ง DHA และ EPA มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ อันเป็นเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง นอกจากนี้ น้ำมันคริลล์ยังมีสารแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) สารสำคัญชนิดหนึ่งที่เรียกว่า แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยการชะลอความชรา ป้องกันการถูกทำลายเซลล์ของผนังหลอดเลือดจากอนุมูลอิสระ และความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน นอกจากนี้ การศึกษาพบว่าแอสตาแซนธินธรรมชาติ สามารถลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ไขมันคอเลสเตอรอลรวม และช่วยเพิ่มไขมันคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL- cholesterol) ได้เช่นกัน
เนื่องจากในน้ำมันคริลล์ (Krill oil) และ น้ำมันปลา (Fish oil) ต่างอุดมไปด้วยกรดไขมัน Omega-3 แต่ในน้ำมันคริลล์นั้น กรดไขมัน Omega-3 อยู่ในรูปของฟอสโฟลิปิด (Phospholipids) ซึ่งช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ง่ายกว่า นอกจากนี้ยังมี
แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยป้องกันการเกิดออกซิเดชันในน้ำมัน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย ส่วนในน้ำมันปลาทั่วไป มีกรดไขมัน Omega-3 ที่อยู่ในรูปเอทิลเอสเทอร์ (Ethyl Ester) ซึ่งร่างกายดูดซึมได้ช้ากว่า เมื่อเทียบกับน้ำมันคริลล์ แต่ทั้งน้ำมันคริลล์และน้ำมันปลามีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจและส่งผลต่อระดับไขมันในเลือดเช่นเดียวกัน เพียงแต่น้ำมันคริลล์จะอยู่ในรูปแบบที่ร่างกายดูดซึมได้ง่ายกว่าและมีสารแอนตี้ออกซิแดนซ์รวมอยู่ด้วยนั่นเอง
จะเห็นได้ว่า ประโยชน์ของน้ำมันคริลล์ (Krill oil) ไม่เพียงแต่จะให้กรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงยังดีต่อสุขภาพในด้านการชะลอวัย และชะลอความเสื่อมของร่างกาย จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพและป้องกันความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรังได้ในอนาคต อย่างไรก็ตามผู้ที่มีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทาน
Krill Oil (คริลล์ออย) ตัวช่วยลดภาวะไขมันในเลือดสูง