แม้ว่า “น้ำมันปลา” และ “น้ำมันตับปลา” จะมีชื่อที่ใกล้เคียงกันจนทำให้หลายคนสับสน และเข้าใจผิดว่าเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมชนิดเดียวกัน แต่รู้หรือไม่ว่าทั้งสองสารอาหารนี้มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นแหล่งที่มา สารอาหาร รวมถึงประโยชน์ที่ได้รับ MEGA We care จึงได้รวบรวมทุกข้อสงสัย พร้อมคำตอบของความแตกต่างระหว่างน้ำมันปลาและน้ำมันตับปลามาให้ทุกคนแล้ว
น้ำมันปลา กับ น้ำมันตับปลา แตกต่างกันอย่างไร ?
1. น้ำมันปลา (Fish Oil)
- แหล่งที่มา
น้ำมันปลา (Fish Oil) คือ น้ำมันที่ได้จากกระบวนการสกัดเอาน้ำมันออกมาจากส่วนต่างๆ ของปลา เช่น เนื้อปลา หนังปลา หางปลา หัวปลา โดยปลาทะเลที่นำมาสกัดนั้นเป็นปลาที่อยู่ในทะเลน้ำลึกเขตหนาวเย็น ซึ่งมีกรดไขมัน Omega-3 ปริมาณมากกว่าปลาน้ำจืด อาทิ ปลาแองโชวี่ ปลาแมคเคอเรล หรือปลาทูน่ามีไขมัน เป็นต้น
- สารอาหารสำคัญของน้ำมันปลา (Fish Oil)
น้ำมันปลาอุดมไปด้วยกรดไขมัน Omega-3 ประกอบด้วยกรดไขมันสำคัญ 2 ชนิด ก็คือ EPA (Eicosatetraenoic Acid) และ DHA (Docosahexaenoic Acid) โดยมีผลวิจัยทางการแพทย์มากมายสรุปอย่างชัดเจนว่าน้ำมันปลา (Fish Oil) มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง เช่น มีส่วนช่วยลดความดันโลหิตสูง ลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ และลดโอกาสการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ สมองอุดตัน นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงสมองและหัวใจ เป็นต้น
- น้ำมันปลา (Fish Oil) เหมาะกับใคร
เหมาะกับผู้ที่ต้องการบำรุงหัวใจ สมอง ป้องกันหลอดเลือดหัวใจ และสมองอุดตัน หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูงหรือต้องการลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ ลดอักเสบโรคข้อรูมาตอยด์ โรคซึมเศร้า และโรคสมองเสื่อม เป็นต้น
อ่านต่อ: น้ำมันปลา กับประโยชน์มากมายที่หลายคนยังไม่รู้
2. น้ำมันตับปลา (Cod liver oil)
- แหล่งที่มา
น้ำมันตับปลาจะสกัดมาจากตับของปลาทะเลน้ำลึก โดยเฉพาะปลาค็อด หรือที่หลายคนคุ้นหูกันในชื่อของ Cod liver oil
- สารอาหารสำคัญของน้ำมันตับปลา (Cod liver oil)
น้ำมันตับปลาจะมีกรดไขมัน EPA และ DHA ในปริมาณที่น้อยกว่าน้ำมันปลา แต่มีวิตามินเอ และวิตามินดี ปริมาณสูง
- น้ำมันตับปลา (Cod liver oil) เหมาะกับใคร
น้ำมันตับปลา เหมาะกับผู้ที่ต้องการดูแลในเรื่องของสายตาและกระดูก เนื่องจาก วิตามินเอ ได้ชื่อว่าเป็น วิตามินสำหรับดวงตา เพราะมีประโยชน์ต่อสมรรถภาพในการมองเห็น ช่วยให้มองเห็นในที่ที่มีแสงสว่างน้อยได้ดีขึ้น ในส่วนของ วิตามินดี เองนั้นก็มีคุณสมบัติในการบำรุงกระดูก ป้องกันกระดูกพรุนและเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง รวมถึงยังถูกนำมาใช้เสริมในผู้ป่วยที่มีภาวะขาดวิตามินเอ และวิตามินดี อีกด้วย
- ข้อควรระวังในการใช้น้ำมันตับปลา (Cod liver oil)
น้ำมันตับปลามีปริมาณของวิตามินเอ และ วิตามินดี สูง ซึ่งวิตามินทั้งสองตัวนี้เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน หากได้รับในปริมาณที่มากเกินไปอาจเกิดการสะสมและก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ เช่น คลื่นไส้ เวียนศีรษะ อาหารไม่ย่อย ผิวหนังเป็นผื่น และนอนไม่หลับได้ในบางคน รวมถึงในหญิงตั้งครรภ์ควรระมัดระวังการรับประทานสารอาหารชนิดนี้เป็นพิเศษ เนื่องจากปริมาณวิตามินเอที่สูง อาจส่งผลให้ทารกในครรภ์เกิดความผิดปกติได้
เมื่ออ่านมาถึงบรรทัดนี้คงได้เห็นถึงความแตกต่างของน้ำมันปลาและน้ำมันตับปลากันแล้ว ดังนั้นก่อนการเลือกซื้ออย่าลืมพิจารณาถึงปัญหาสุขภาพที่ต้องการดูแล เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์มากที่สุด อีกทั้งควรศึกษาถึงวิธี ปริมาณ และระยะเวลาในการรับประทานเพื่อที่จะให้ร่างกายได้รับประโยชน์อย่างสูงสุด ด้วยความห่วงใยจาก….MEGA We care