วิตามินดี (Vitamin D) คือ วิตามินที่ร่างกายสามารถสร้างได้เองได้ผ่านการกระตุ้นจากรังสี UVB ในแสงแดด หรืออาจได้จากการรับประทานอาหารบางชนิด เช่น ไข่แดง นม เนย ตับ และเนื้อสัตว์ อย่างไรก็ตาม ด้วยหลายปัจจัยทำให้ในปัจจุบันอัตราผู้ที่ขาดวิตามินดีมีเพิ่มมากขึ้น
1. บำรุงกระดูก ป้องกันกระดูกพรุนและเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง
วิตามินดีมีส่วนในการช่วยดูดซึมแคลเซียมที่ลำไส้ รักษาสมดุลแคลเซียมในร่างกาย และลดการสลายแคลเซียมออกจากกระดูก พร้อมทั้งช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ถึงร้อยละ 30 – 35 จากอาหารที่กิน นอกจากนี้ยังมีส่วนสำคัญในการเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ มีความจำเป็นต่อการยืดและหดของมัดกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อขา ช่วยให้การทรงตัวและการทำงานของกล้ามเนื้อดีขึ้น
2 .เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
ทำให้เม็ดเลือดขาวตอบสนองต่อเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมได้ดียิ่งขึ้น ช่วยลดการแบ่งตัวของไวรัสและแบคทีเรีย และลดการสร้างสารไซโตไคน์ (Cytokine) ที่ก่อให้เกิดการอักเสบภายในร่างกาย ทำให้ร่างกายสามารถต้านทานโรคได้มากขึ้น
3. ควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกาย
อินซูลินเป็นฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งวิตามินดีจะมีคุณสมบัติในการควบคุมการผลิตอินซูลินในตับอ่อน และช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ดี อีกทั้งยังลดความเสี่ยงของการต้านอินซูลิน จึงช่วยลดโอกาสการเกิดโรคเบาหวานได้
4. ควบคุมความดันโลหิต
ช่วยควบคุมระบบฮอร์โมนเรนินแองจิโอเทนซิน เพื่อช่วยในการควบคุมความดันโลหิตของร่างกายไม่ให้สูงจนผิดปกติ และในผู้ที่มีความดันโลหิตสูง หากมีระดับวิตามินดีในร่างกายต่ำจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจถึง 2 เท่า
5. ลดอาการปวดหัวไมเกรน
โดยจะช่วยให้ระบบหมุนเวียนเลือดทำงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้หลอดเลือดเกร็งและคลายตัวได้ตามปกติ จึงช่วยลดอาการปวดหัวไมเกรน ซึ่งมีข้อมูลการศึกษาพบว่าการได้รับวิตามินดี 3 วันละ 1,000-4,000 IU ต่อเนื่อง สามารถลดความถี่ในการเกิดไมเกรนได้ 45-100%
6. ลดความเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้า
วิตามินดีมีบทบาทสำคัญในเรื่องสุขภาพจิต ช่วยให้สมองหลั่งสารเซโรโทนิน (Serotonin) มากขึ้น ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ช่วยให้รู้สึกอารมณ์ดี ลดความเครียด และความวิตกกังวลจากภาวะของโรคซึมเศร้า (Depression)
7. ควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ในร่างกาย
โดยเฉพาะเซลล์ต่างๆ บริเวณลำไส้ เต้านม และต่อมลูกหมาก ทำให้การเจริญเติบโตของเซลล์ต่างเป็นไปตามปกติ
วิตามินดีที่เหมาะสมต่อร่างกายคนเราคือ วิตามินดี 2 (Ergocalciferol) ซึ่งพบได้เฉพาะในพืช เช่น เห็ด ยีสต์ ซึ่งเป็นรูปแบบที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ และอีกรูปแบบ คือ วิตามินดี 3 (Cholecalciferol) ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับที่ร่างกายสร้างขึ้น และมีประสิทธิภาพการเพิ่มระดับวิตามินดีในเลือดได้ดีกว่าวิตามินดี 2 ถึง 56 – 87% ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย แต่ละวันควรกินวิตามินดีในปริมาณ 5,000 IU