หากจะให้นึกถึงสิ่งที่ผู้หญิงส่วนใหญ่เลือกมาใช้บำรุงผิวมากเป็นอันดับต้นๆ ก็เห็นจะเป็น คอลลาเจน (Collagen) ซึ่งคอลลาเจนคือส่วนประกอบหลักของผิวหนังที่ไปช่วยให้ผิวมีโครงสร้างแข็งแรง กระชับ เต่งตึง และยืดหยุ่นได้ดี ด้วยเหตุนี้จึงถือว่าคอลลาเจนมีความสำคัญกับสุขภาพผิวที่ดีโดยตรง
คอลลาเจน (Collagen) เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีมากที่สุดในร่างกายของเรา พบในร่างกายมากถึง 70%คอลลาเจนจะทำหน้าที่เป็นโครงสร้างของเนื้อเยื่อต่างๆ มีความเหนียวและแข็งแรง ให้แก่อวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย นอกจากนี้คอลลาเจนยังเป็นส่วนประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของผิวหนัง โดยเฉพาะชั้นหนังแท้ (Dermis) พบมากถึง 90% นอกจากนี้ยังพบใน ผม เล็บ กระดูก ข้อต่อ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ผนังหลอดเลือดดังนั้นหากขาดคอลลาเจนไปเซลล์ในร่างกายจะเชื่อมต่อกับเนื้อเยื่อไม่สมบูรณ์ จึงส่งผลให้อวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายอ่อนแอ
ช่วงวัยอายุ 25ปี จะเป็นช่วงที่มีการสร้างคอลลาเจนได้อย่างเต็มที่ และ เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ความสามารถในการผลิตคอลลาเจนก็จะลดลง ร่างกายก็จะเกิดการเสื่อมสภาพและเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะเรื่องของผิวพรรณ ซึ่งสามารถเกิดได้จากทั้งปัจจัยภายในและภายนอก ซึ่งส่งผลให้ผิวพรรณขาดความกระชับ เกิดความหย่อนคล้อย เกิดริ้วรอย และเกิดความหมองคล้ำ
สำหรับปัจจัยภายใน เกิดจากการทำงานของโครงสร้างผิวหนังที่เสื่อมสภาพและอ่อนแอลง จึงทำให้ชั้นหนังแท้ (Dermis) เริ่มสูญเสียเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความแข็งแรงและยืดหยุ่นของผิวหนัง จึงทำให้เกิดความหย่อนคล้อย ไม่กระชับ เกิดริ้วรอย เป็นร่องและไม่เรียบเนียน
การเลือกคอลลาเจน ต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่างในการตัดสินใจเลือกซื้อเพราะเป็นสิ่งที่ต้องรับเข้าสู่ร่างกาย ที่สำคัญต้องเลือกให้ถูกชนิดเพราะคอลลาเจนมีหลากหลายประเภท ดังนั้นเราต้องดูคอลลาเจนที่เหมาะสมและให้ประโยชน์กับผิวของเรามากที่สุด
คอลลาเจนที่ได้รับความนิยมและเป็นที่ยอมรับสำหรับการดูแลผิวโดยเฉพาะควรเป็น คอลลาเจนไฮโดรไลเซต (Collagen Hydrolysate) หรือ เรียกอีกอย่างว่า คอลลาเจนเปปไทด์ (Collagen peptide) ที่ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ได้คอลลาเจนที่มีขนาดและความยาวสั้นลง ซึ่งมีโครงสร้างโมเลกุลใกล้เคียงคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนังของมนุษย์มากที่สุด ซึ่งโครงสร้างคอลลาเจนในผิวของมนุษย์นั้น จะประกอบด้วยกรดอะมิโนเรียงตัวต่อกัน 3 ชนิด หรือที่เรียกกันว่า ไตรเปปไทด์ และเรียงต่อกันเป็นสายเกรียวยาวๆ (Poly-peptide) จนเกิดเป็นชั้นคอลลาเจนและชั้นหนังแท้ตามมา
นอกจากนี้ คอลลาเจนไฮโดรไลเซตมีคุณสมบัติละลายน้ำได้ดี จึงช่วยให้ร่ายกายดูดซึมและสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยปรับโครงสร้างของผิวให้แข็งแรงและมีความยืดหยุ่น ป้องกันการสูญเสียน้ำที่ชั้นผิว เพิ่มความชุ่มชื้นและลดเลือนริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
E. PROKSCH และคณะศึกษาประสิทธิภาพของคอลลาเจนไฮโดรไลเซต เมื่อรับประทาน วันละ 2.5 กรัม ต่อเนื่อง 8 สัปดาห์ เปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับประทานในผู้หญิงอายุ 45-65 ปี จำนวน 114 คน พบว่า การรับประทานคอลลาเจนไฮโดรไลเซตปริมาณ 2.5 g. วันละ 1 ครั้ง จะช่วยลดริ้วรอย เพิ่มปริมาณคอลลาเจนและอีลาสตินได้อย่างมีนัยสำคัญ
ดังนั้นการรับประทานในปริมาณสูงๆ อาจไม่จำเป็น เพราะปริมาณคอลลาเจน ไม่ได้บ่งบอกถึงประสิทธิภาพ แต่ควรเลือกคอลลาเจนที่มีการรองรับทางการแพทย์ตามปริมาณที่เหมาะสม
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการรับประทานนั้นไม่มีผลต่อประสิทธิภาพการดูดซึม แต่จะมีผลดีเมื่อรับประทานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน และเลือกในรูปแบบที่เหมาะสม ดังเช่นตามงานวิจัยระบุว่า ควรเลือกในรูปแบบพิเศษ หรือ Bioactive collagen peptide รับประทานอย่างต่อเนื่อง เป็นเวลาอย่างน้อย 2 เดือน จะช่วยให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
จะเห็นได้ว่าคอลลาเจนมีอยู่ทั่วร่างกาย และมีความสำคัญต่อระบบต่างๆ ภายในร่างกายโดยเฉพาะด้านผิวพรรณ ดังนั้นการเสริมคอลลาเจนให้กับผิวจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะสามารถช่วยฟื้นฟูและชะลอวัยผิวให้กลับมามี ประสิทธิภาพ และดูอ่อนเยาว์ในแบบที่เคยเป็น
-