เคล็ดลับทำ ดีท็อกซ์ (Detox) แก้ปัญหาขับถ่ายยาก ป้องกันมะเร็งลำไส้ 

ดีท็อกซ์ (Detox) ป้องกันมะเร็งลำไส้

ดีท็อกซ์ ล้างลําไส้ (Detox) อีกหนึ่งวิธียอดนิยมในการแก้ปัญหาระบบขับถ่าย โดยเฉพาะอาการท้องผูก ขับถ่ายยาก แต่อันที่จริงแล้วประโยชน์ของการทำดีท็อกซ์ยังมีมากไปกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้ ลดปัญหากลิ่นปาก อาการลำไส้แปรปรวนต่างๆ ที่เกิดจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารในชีวิตประจำวัน ซึ่งประโยชน์ของการทำดีท็อกซ์นั้นขึ้นอยู่กับแต่ละวิธีของการทำดีท็อกซ์ด้วย

การดีท็อกซ์ (Detox) คืออะไร ?

ดีท็อกซ์ หรือ Detox (Detoxification) คือ กระบวนการนำสารพิษตกค้างออกจากร่างกายซึ่งส่วนใหญ่มักขับถ่ายของเสียออกมาผ่านลำไส้ใหญ่ เนื่องจากลำไส้ใหญ่มีหน้าที่หลักในการขับถ่ายของเสีย การที่มีสิ่งตกค้างสะสมในลำไส้ โดยเฉพาะคราบไขมันและตะกอนจากอาหารที่เกาะอยู่ตามลำไส้จะส่งผลให้กากอาหารเคลื่อนตัวได้ยากและทำให้กระบวนการขับถ่ายช้าลง จึงส่งผลให้มีอาการท้องผูก ลำไส้แปรปรวน อาการภูมิแพ้ มีกลิ่นปากหรือลมหายใจเหม็น ตลอดจนมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้มากขึ้น

ดีท็อกซ์ ขับล้างสารพิษในลำไส้ เลือกทำวิธีไหนดี?

วิธีการทำดีท็อกซ์ (Detox) เพื่อล้างสารพิษตกค้างในลำไส้ สามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งการทำดีท็อกล้างลำไส้และการดีท็อกซ์วิธีธรรมชาติด้วยตนเอง ซึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบันมีอยู่ 3 วิธี ได้แก่ 

  1. การสวนล้างลำไส้ เพื่อกำจัดสารพิษตกค้างภายในลำไส้ด้วยวิธีการสวนล้างผ่านทางทวารหนัก สามารถลดอาการท้องผูกและช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น แต่จะต้องใช้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและผู้ที่ทำการสวนล้างต้องมีความเชี่ยวชาญ เพราะมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ง่าย 
  2. การอดอาหาร เป็นวิธีการทำดีท็อกซ์ที่เลียนแบบพฤติกรรมการจำศีลของสัตว์เพื่อพักระบบย่อยอาหารและลดการสะสมแบคทีเรียในลำไส้ โดยระหว่างการอดอาหารจะดื่มได้เฉพาะน้ำเปล่าหรือน้ำผักและผลไม้เป็นเวลา 1-2 วันติดต่อกัน อย่างไรก็ตามวิธีนี้ควรทำเมื่อสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีและมั่นใจว่าไม่มีโรคประจำตัวที่ต้องรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ
  3. การรับประทานอาหาร เพื่อเพิ่มจุลินทรีย์ดีในลำไส้และช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี โดยเฉพาะอาหารที่อุดมไปด้วยพรีไบโอติก (Prebiotic) ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่งที่ร่างกายของคนเราไม่สามารถย่อยและดูดซึมได้ แต่จะถูกย่อยโดย โพรไบโอติก (Probiotic) และเป็นแหล่งอาหารชั้นดีของจุลินทรีย์ในลำไส้หรือที่รู้จักกันในชื่อ โพรไบโอติก (Probiotic) เมื่อจุลินทรีย์โพรไบโอติกในลำไส้มีจำนวนเพิ่มขึ้น จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตแบคทีเรียชนิดไม่ดีในลำไส้ ป้องกันอาการท้องเสีย ท้องเดินรวมถึงช่วยอาการท้องผูกและสามารถขับถ่ายได้ง่ายขึ้นโดยธรรมชาติ

จะเห็นได้ว่า สิ่งสำคัญในการทำดีท็อกซ์คือการช่วยให้ระบบขับถ่ายและลำไส้สะอาดอาดขึ้น โดยการขับล้างกากอาหารที่ตกค้างในลำไส้ออกไปด้วยวิธีการที่เหมาะสม ซึ่งดีท็อกซ์ด้วยการสวนล้างลำไส้หรือการอดอาหารควรทำควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อระบบขับถ่าย โดยเฉพาะอาหารที่มีใยอาหารสูงและอุดมไปด้วยพรีไบโอติก จะช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติและสุขภาพลำไส้สมดุลได้อย่างยั่งยืน 

อ่านต่อ : ประโยชน์ของ โพรไบโอติก (Probiotic) ต่อระบบทางเดินอาหาร

วิธีทำ ดีท็อกซ์ (Detox) ด้วยตนเอง

เคล็ดลับการทำดีท็อกซ์ ปรับระบบขับถ่ายด้วยตนเอง

เคล็ดลับง่ายๆ ในการทำดีท็อกซ์ในชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยขจัดสิ่งตกค้างและสารพิษที่อาจนำไปสู่การเกิดมะเร็งลำไส้ได้ คือการปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ใส่ใจต่อระบบขับถ่ายมากขึ้น ดังนี้ 

  1. ดื่มน้ำให้มากขึ้น อย่างน้อย 2-3 ลิตรต่อวัน เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถขจัดของเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงช่วยให้ลำไส้ชุ่มชื้นและดูดซึมสารอาหารที่มีประโยชน์ได้ดี  
  2. รับประทานผักและผลไม้ 5-9 ส่วนต่อวัน เนื่องจากผักและผลไม้ รวมถึงธัญพืชไม่ขัดสีอุดมไปด้วยใยอาหารสูง สามารถช่วยลดการสะสมของสารพิษตกค้างในลำไส้และช่วยให้ขับถ่ายได้สะดวกขึ้น 
  3. รับประทานอาหารหมักดองที่มีประโยชน์ เช่น โยเกิร์ต นมเปรี้ยว หรือกิมจิ เพื่อช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ดีในระบบย่อยอาหารและลดพิษจากแบคทีเรีย
  4. รับประทานอาหารที่มีพรีไบโอติก (Prebiotic) เป็นประจำ พบมากใน มะเขือเทศ กล้วยหอมใหญ่ กระเทียม ข้าวโอ๊ต เป็นต้น รวมถึงอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของพรีไบโอติกในปริมาณที่เหมาะสม

ประโยชน์ของการทำ ดีท็อกซ์ (Detox) 

  • ลดอาการท้องผูก ขับถ่ายยาก เนื่องจากการดีท็อกซ์เอาสารพิษที่ตกค้างในลำไส้รวมถึงคราบอาหารเก่าออกไป จึงทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น 
  • ป้องกันการเกิดริดสีดวงทวาร เนื่องจากกากอาหารเก่าค้างอยู่ที่ลำไส้ใหญ่เป็นเวลานานจะถูกดูดซึมน้ำ วิตามิน แร่ธาตุ และน้ำตาลกลูโคส กลับเข้าสู่ร่างกายผ่านกระแสเลือด ยิ่งปล่อยไว้นานจะยิ่งทำให้กากอาหารแข็งขึ้นและขับถ่ายได้ยาก ทำให้ต้องใช้แรงเบ่งอุจจาระแรงๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดริดสีดวงทวารได้ การดีท็อกซ์จึงช่วยให้กากอาหารเก่าที่สะสมในลำไส้ลดลง โดยเฉพาะการรับประทานอาหารที่ช่วยเพิ่มกากใยและเพิ่มจุลินทรีย์ดีในลำไส้จะช่วยป้องกัน ริดสีดวงทวาร ได้ในระยะยาว
  • แก้ปัญหาลำไส้แปรปรวน ท้องผูกสลับท้องเสีย เพราะการดีท็อกซ์ช่วยให้จุลินทรีย์ในลำไส้มีความสมดุล ลดการสะสมของของเสียในลำไส้และช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ 
  • ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งลำไส้ เนื่องจากการบริโภคอาหารปิ้งย่าง ของทอด อาหารค้างคืน อาจมีสิ่งสกปรกตกค้างและสารก่อมะเร็งในลำไส้เป็นเวลานาน การดีท็อกซ์จะช่วยให้ร่างกายขับของเสียออกไป ลดการสะสมของสารพิษและลำไส้สะอาดขึ้น 
  • ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น เนื่องจากเซลล์ลำไส้ถือเป็นส่วนสำคัญที่ปกป้องร่างกายจากเชื้อโรค โดยจุลินทรีย์ดีในลำไส้เป็นส่วนสำคัญของระบบภูมิคุ้มกันแบบเยื่อเมือก (Mucosal Immune Response) ที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของภูมิคุ้มกันโดยกำเนิดในกระบวนการดักจับสิ่งแปลกปลอมและทำลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย
  • ช่วยให้ลำไส้ดูดซึมสารอาหารและวิตามินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น วิตามินบี วิตามินอี วิตามินดี วิตามินซี ซิงค์ เป็นต้น รวมถึงช่วยย่อยกากอาหารให้สลายตัวได้ดียิ่งขึ้น

การทำดีท็อกซ์ (Detox) ลำไส้ให้สะอาด จะช่วยขจัดสารพิษตกค้างและป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ได้ อีกทั้งยังช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น ผิวพรรณดูสดใส ลดปัญหากลิ่นปากหรือลมหายใจเหม็นได้อีกด้วย ทั้งนี้ควรเลือกรับประทานอาหารประเภทผัก ผลไม้ และธัญพืชให้เป็นชีวิตจิตใจ เพื่อให้ลำไส้มีความสมดุลและสามารถขับถ่ายได้อย่างเป็นปกติในทุกวัน

อ้างอิง
  1. https://hdmall.co.th/c/benefits-of-detoxification-and-dangers
  2. https://www.synphaet.co.th/seriruk/benefits-and-how-to-detox-your-body/
  3. https://www.doctor.or.th/article/detail/1465
  4. https://www.pobpad.com/ดีท็อก-ล้างพิษ-ลดน้ำหนัก
  5. https://www.bdmswellness.com/knowledge/probiotics-and-prebiotics-what-are-the-differences
อัลบั้มภาพ

ข่าวสุขภาพอื่นๆ

ล้างพิษ

โพรไบโอติก (Probiotic) มิตรแท้ระบบทางเดินอาหาร

ระบบย่อยอาหาร

‘โปรไบโอติกส์’ (Probiotics) จุลินทรีย์ชนิดดีกับการช่วยเสริมภูมิคุ้มกันต่อต้านเชื้อโรค

ทั้งหมด

'ท้องอืด' บรรเทาด้วย 3 สมุนไพรจากธรรมชาติ