4 วิตามินลดฝ้า กู้ผิวหน้ากระจ่างใสจากภายใน

ฝ้า กระ
วิตามินลดฝ้า เพื่อผิวหน้ากระจ่างใส

ปัญหาฝ้า (Melasma) เป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่สร้างความกังวลใจให้กับหลายๆ คน เพราะนอกจากจะทำให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำแล้ว ยังส่งผลต่อความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันอีกด้วย ซึ่งฝ้านั้นเกิดได้ในคนทุกเพศ แต่จะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย พบบ่อยในคนอายุตั้งแต่ 20 – 40 ปี โดยเฉพาะในคนผิวสองสี หรือ ผิวสีน้ำตาล และมีแสงแดดเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดฝ้าบนใบหน้า หรือ หน้าเป็นฝ้าแดดได้ เพื่อช่วยลดฝ้า กระ และ ฟื้นบำรุงผิวให้กลับมาสว่างขึ้นได้จากภายใน นอกจากการรักษาด้วยหัตถการ และ ทาครีมบำรุงผิวต่างๆ แล้ว อีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยฟื้นบำรุงให้ผิวดูสว่างขึ้นก็คือ วิตามินลดฝ้า ที่สามารถเลือกรับประทานได้ในชีวิตประจำวัน

วิตามินลดฝ้า คืออะไร ทำไมถึงช่วยลดฝ้าได้?

วิตามินลดฝ้า คือ กลุ่มวิตามินและสารอาหารที่ช่วยลดการเกิดฝ้า กระ และ จุดด่างดำบนผิวหน้า โดยมักมีคุณสมบัติในการยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานิน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดฝ้ากระ บนผิวหน้า วิตามินเหล่านี้ มีส่วนช่วยให้ผิวหน้าดูกระจ่างใสขึ้น และ อาจลดเลือนจุดด่างดำได้ โดยมีหลักการทำงานที่สำคัญ ได้แก่ 

  • ต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดฝ้าและริ้วรอย
  • ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ช่วยลดการผลิตเม็ดสีเมลานิน ซึ่งเป็นสาเหตุของสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ
  • กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ช่วยให้เซลล์ผิวเก่าหลุดลอกออกไป และสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทน
  • บำรุงผิวให้แข็งแรง ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นให้กับผิว ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้นและต้านทานต่อมลภาวะ
วิตามินลดฝ้า และรักษาฝ้าจากภายใน

วิตามินอะไร ดีสำหรับคนหน้าเป็นฝ้า?

ถึงแม้ว่าการรักษาฝ้าบนใบหน้านั้น จำเป็นต้องใช้ระยะเวลานานและต่อเนื่อง แต่ยังมีวิตามินผิวอีกหลายชนิด มีส่วนช่วยในการลดเลือนฝ้าให้ดูจางลง และบำรุงผิวให้กระจ่างใสขึ้นได้ เช่น

1. วิตามินซี 

วิตามินซี  (Vitamin C) ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้น โดยมีคุณสมบัติยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานิน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดฝ้าและจุดด่างดำบนใบหน้า นอกจากนี้ วิตามินซียังช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น มีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจน และช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

2. วิตามินอี 

วิตามินอี (Vitamin E) เป็นวิตามินที่ละลายได้ในไขมัน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการทำงานของร่างกายและการดูแลผิว โดยวิตามินอีมีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ และช่วยลดการอักเสบในร่างกายได้ นอกจากนี้วิตามินอียังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ช่วยให้ผิวดูสดใสแลดูสุขภาพดี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดูแลรักษาฝ้า ลดการอักเสบ และ ช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระและรังสี UV ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดฝ้า การใช้วิตามินอี ฟื้นบำรุงผิวอย่างต่อเนื่อง จะช่วยปรับสภาพผิวให้กระจ่างใสและลดเลือนจุดด่างดำได้ดียิ่งขึ้น

3. วิตามินบี 3 

วิตามินบี 3 หรือ ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) อยู่ในกลุ่มวิตามินบีคอมเพล็กซ์ (B-Complex) มีบทบาทสำคัญในการสร้างเซราไมด์ (Ceramide) และคอลลาเจน ซึ่งช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นและกระชับขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดการส่งผ่านเม็ดสีเมลานินไปยังผิวชั้นบน จึงทำให้รอยฝ้า กระ จางลง นอกจากจะพบในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดต่างๆ แล้ว ยังพบได้ในอาหารหลายชนิด เช่น เนื้อสัตว์ ปลา เมล็ดพืช ถั่ว รวมถึงวิตามินบีรวม หรือ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของวิตามินบี 3

4. Pycnogenol 

Pycnogenol คือ สารสกัดจากเปลือกต้นสนมาริไทม์ฝรั่งเศส (Pinus pinaster) ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) มีสารสำคัญอย่างโปรแอนโธไซยานิดิน (Oligomeric Proanthocyanidin Complexes – OPCs) ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระแรงกว่าวิตามิน C ถึง 20 เท่า และ แรงกว่าวิตามิน E ถึง 50 เท่า ช่วยลดปริมาณการสร้างเม็ดสี เมลานิน(Melanin) ที่ผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดฝ้า กระทำให้รอยหมองคล้ำ และจุดด่างดำค่อยๆ จางลง อีกทั้งยังช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ ที่เกิดจากรังสียูวีและความเครียด จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการลดฝ้า กระ และดูแลสุขภาพผิวโดยรวม

5. Dunaliella Salina

สารสกัดจากสาหร่ายไมโครอัลจีชนิดหนึ่ง พบได้ในสภาพแวดล้อมที่มีความเค็มสูง เช่น ทะเลสาบเกลือ และ บ่อระเหยเกลือ สาหร่ายชนิดนี้ มีการผลิตแคโรทีนอยด์ในปริมาณมาก โดยเฉพาะเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยคงความชุ่มชื้นให้กับผิวได้ดี 

อ่านต่อ : หน้าเป็นฝ้าเกิดจากอะไร รักษาอย่างไร

วิธีรับประทาน วิตามินลดฝ้า ให้ได้ประโยชน์สูงสุด

การดูแลผิวหน้าเป็นฝ้านั้นจำเป็นต้องอาศัยความต่อเนื่องและการดูแลผิวหน้าหลายวิธีร่วมกัน ซึ่งการรับประทานวิตามินลดฝ้าที่ถูกต้องจะช่วยส่งเสริมการรักษาฝ้าและฟื้นบำรุงผิวหน้าเป็นฝ้าให้จางลงได้ ดังนี้

  • รับประทานในปริมาณและเวลาที่เหมาะสม โดยควรปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลากผลิตภัณฑ์ เช่น วิตามินบางชนิดอาจต้องรับประทานวันละ 1-2 แคปซูล หรือ แบบซอง ขึ้นอยู่กับสูตรของแต่ละผลิตภัณฑ์ 
  • ความสม่ำเสมอในการรับประทาน เนื่องจากการฟื้นบำรุงผิวเป็นฝ้า อาจต้องใช้ระยะเวลานาน การรับประทานวิตามินลดฝ้าอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ อย่างไรก็ตาม หลังรับประทานครบ 3 เดือน ควรงดเว้นการรับประทาน 1 เดือนแล้วจึงรับประทานต่อ เพื่อให้ร่างกายปรับความสมดุลและไม่ให้ ตับ ไตทำงานหนักเกินไป 
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้ผิวแข็งแรงและร่างกายสุขภาพดี ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ส่งเสริมการดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุ เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ และโปรตีนคุณภาพ รวมถึงดื่มน้ำอย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวัน จะช่วยให้ผิวแข็งแรง ชุ่มชื้น และไม่แห้งกร้าน
  • รับประทานวิตามินลดฝ้าร่วมกับการรักษาฝ้า สำหรับผู้ที่รักษาฝ้าด้วยวิธีอื่นๆ เช่น ยาทาฝ้า การเลเซอร์ หรือใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอื่นๆ สามารถรับประทานวิตามินบำรุงฝ้าควบคู่กันไปได้ ซึ่งอาจช่วยลดระยะเวลาพักฟื้น แผลสมานเร็วขึ้น และลดอาการผิวอักเสบได้ (ปรึกษาแพทย์ผู้รักษาก่อนรับประทาน)

อย่างไรก็ตาม การรักษาฝ้าบนใบหน้าจำเป็นต้องดูแลร่วมกันหลายวิธี ตามสาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้าและความรุนแรงของฝ้า หากผิวหน้าเป็นฝ้าจนเห็นได้ชัด และส่งผลให้เสียความมั่นใจ อาจเลือกเข้ารับการรักษากับแพทย์ผิวหนังอย่างตรงจุด ปกป้องผิวจากรังสี UV ด้วยการทาครีมกันแดดทุกวัน หลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ร้อนจัดหรือมีมลพิษ ควบคู่ไปกับการรักษาความสะอาด บำรุงผิวให้ชุ่มชื้น และรับประทานกลุ่มวิตามินลดฝ้าเป็นประจำจะช่วยส่งเสริมให้การรักษาฝ้ามีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น และช่วยป้องกันการเกิดปัญหาผิวด้านอื่นๆ ที่อาจตามมาได้ 

อ้างอิง
  1. สถาบันโรคผิวหนัง
  2. ฐานข้อมูล MEGA We care
อัลบั้มภาพ

ข่าวสุขภาพอื่นๆ

ผิวแห้งและริ้วรอย

เรื่องริ้วรอย...ไม่ว่าใครก็คอยไม่ได้

ผิวแห้งและริ้วรอย

ความเชื่อผิดๆ ของการกินคอลลาเจนสำหรับผิว