บอกต่อวิธี ลดรอยสิว รอยดำจากสิว พร้อมบำรุงผิวให้แข็งแรง 

ผู้หญิงบำรุงผิว ลดรอยสิว รอยดำจากสิว

รอยสิว เป็นอีกหนึ่งปัญหาผิวที่ทำลายความมั่นใจของใครหลายคน โดยเฉพาะรอยสิวที่หน้าและยังต้องใช้เวลาในการดูแลรักษาอยู่พอสมควร ไม่ว่าจะเป็น รอยแดง รอยดำ รอยแผลเป็น หรือ รอยหลุมสิวที่จำเป็นต้องดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วรอยสิวตื้นสามารถจางลงไปได้เอง แต่อาจต้องใช้เวลานาน หรือ อาจเกิดรอยสิวซ้ำหลายจุดได้ การบำรุงผิวให้แข็งแรงร่วมกับการรักษารอยสิวจึงมีความสำคัญในการ “ลดรอยสิว” และช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น โดยสามารถทำได้หลากหลายวิธีตามลักษณะของรอยสิว

รอยสิวไม่หายสักที เกิดจากอะไร?

รอยสิว เป็นร่องรอยแผลของสิวที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น รอยดำ รอยแดง หรือ รอยหลุมสิว ซึ่งเกิดจากกลไกในการเกิดสิวและมีการอักเสบที่ชั้นใต้ผิวหนัง โดยร่างกายจะมีการหลั่งสารอักเสบ และ ทำให้มีการผลิตเม็ดสีเมลานินเป็นจำนวนมากในจุดที่เกิดการอักเสบ หรือ ที่เรียกว่า “Post-Inflammatory Hyperpigmentation” จึงทำให้เห็นเป็นรอยสิว และ สีผิวไม่สม่ำเสมอ นอกจากนี้ การบีบแกะสิวแรงๆ อาจทำให้ผิวบริเวณนั้นเกิดรอยแผลเป็น และ อาจทำให้รักษาสิวได้ยากขึ้น

ประเภทของรอยสิว

รอยสิวมักมีลักษณะ ความเข้ม และ สีของรอยสิวที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะรอยสิวที่หน้าจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการอักเสบ ยิ่งสิวอักเสบมาก จะยิ่งก่อให้เกิดรอยสิวที่เข้มขึ้นและหายช้า หรือ หากเป็นสิวอักเสบขนาดใหญ่ อย่างสิวหัวหนอง สิวหัวช้าง หรือสิวที่ติดเชื้อแบคทีเรีย จนลุกลามไปทั่วชั้นใต้ผิวหนัง อาจทำให้เกิดรอยดำ รอยหลุมสิว ที่หาวิธีรักษาหรือ ลดรอยสิว ได้ยาก โดยรอยสิวที่พบได้บ่อย แบ่งออกได้หลักๆ อยู่ 3 ลักษณะ

1. รอยดำจากสิว

รอยสิวที่เห็นเป็นจุดสีเข้ม หรือ สีดำ ซึ่งเกิดจากเนื้อเยื่อถูกทำลายในขณะที่เกิดสิว หลังจากที่สิวหายอักเสบแล้ว ผิวบริเวณนั้น ยังมีการสร้างเนื้อเยื่อที่ไม่สมบูรณ์ และ มีการรวมตัวกันของเม็ดสีเมลานิน อีกทั้งเมื่อผิวสัมผัสกับแสงแดด จึงทำให้เกิดเป็นรอยดำที่ชัดเจนขึ้นนั่นเอง

2. รอยแดงจากสิว
รอยแดง เป็นรอยสิวที่มีลักษณะเป็นจุดแดงบนใบหน้า เกิดจากการอุดตันในรูขุมขน เนื่องจากต่อมไขมันมีการผลิตน้ำมันมากเกินไปจนเกิดการอุดตัน และ อาจทำให้เกิดเป็นสิวอักเสบขึ้น เมื่อร่างกายลำเลียงเลือดไปยังเนื้อเยื่อบริเวณนั้น เพื่อฟื้นฟูตัวเอง จึงทำให้บริเวณหลอดเลือดใต้ผิวหนังบริเวณนั้น เกิดการขยายตัวและส่งผลให้ผิวหนังเกิดรอยแดงขึ้น ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธี อาจทำให้เกิดรอยแดงถาวรได้เลยทีเดียว

3. รอยหลุมสิว

รอยหลุมสิว เป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวอุดตันที่มีหัวสิวอักเสบ ไม่ว่าจะเป็น  สิวหัวหนอง หรือ สิวหัวช้าง ซึ่งเกิดความเสียหายลึกไปถึงผิวชั้นใน ทำให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อได้ไม่เพียงพอ ทำให้เกิดเป็นรอยหลุมสิวและรอยแผลเป็น โดยรอยหลุมสิวแบ่งได้เป็น 4 แบบ คือ

  • Rolling Scars รอยหลุมสิวตื้น เห็นเป็นจุดหลุมบนผิวหนัง 
  • Ice-pick Scars รอยหลุมสิวลึก 
  • Atrophic Scars รอยหลุมสิวที่เป็นรอยแบนและบาง 
  • Boxcar Scars รอยหลุมสิวปากกว้าง มีขนาดใหญ่ เห็นขอบหลุมชัดเจน
  • Hypertrophic หรือ Keloid Scars รอยแผลหลุมสิวนูนขึ้นมาบนผิวหนัง

รอยสิว ต้องดูแลกี่วันถึงจะหายดี?

โดยปกติแล้วรอยสิวสามารถหายได้เองภายใน 2-4 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแลผิว แต่จะมีรอยสิวบางชนิด ที่จำเป็นต้องรักษาเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะรอยหลุมสิวที่อาจใช้เวลานานถึง 1-2 ปี โดยสาเหตุที่ทำให้รอยสิวหายช้า อาจเกิดจากชนิดของสิว ได้แก่ สิวอักเสบ สิวหัวช้าง สิวอุดตัน ที่มักทิ้งร่องรอยไว้ใบผิว หลังจากเกิดสิว และ คอลลาเจนในชั้นผิวมีน้อย จึงทำให้ผิวฟื้นฟูได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้ผิวสมานแผลได้ช้าลง และก่อให้เกิดเป็นรอยสิวบนหน้าได้ ทั้งรอยดำ รอยแดง และรอยหลุมสิว รวมถึงพฤติกรรมการแกะเกา การกดหรือบีบสิว จะทำให้เซลล์เนื้อเยื่อถูกทำลาย และเส้นเลือดฝอยบนผิวหนังแตกออก ทำให้เกิดการอักเสบ หากผิวสัมผัสกับแสงแดดอาจเกิดเป็นรอยดำได้ง่าย

4 วิธี ลดรอยสิว หลุมสิว รอยแผลที่เกิดจากสิว

การดูแลผิวหลังเกิดสิวถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก เพราะหากดูแลผิวที่เป็นสิวได้ไม่ดีเท่าที่ควร อาจก่อให้เกิดปัญหารอยสิว รอยแดง รอยดำ หรือ รอยหลุมสิวตามมาได้ การรักษารอยสิวให้จางลงนั้น จำเป็นต้องทำควบคู่กันไป ทั้งการดูแลผิวจากภายนอกและภายใน ดังนี้

1. ดูแลผิวให้สะอาด

การทำความสะอาดผิวเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ และ เป็นขั้นตอนแรกที่ขาดไม่ได้ ก่อนการบำรุงผิวด้วยวิธีใดก็ตาม เนื่องจากบนผิวหนังของเรามี สกินไมโครไบโอม (Skin Microbiome) ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก เช่น แบคทีเรีย เชื้อรา ทั้งชนิดดีและไม่ดีที่ก่อให้เกิดสิว จึงควรรักษาความสะอาดของผิว ด้วยการล้างทำความสะอาดผิวอย่างน้อยวันละ 1-2 ครั้ง เพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่อุดตันอยู่ในรูขุมขน หรือ ใช้วิธี Double Cleansing ที่จะช่วยให้ผิวสะอาดล้ำลึกมากยิ่งขึ้น

2. ดูแลรอยสิวจากภายนอกด้วยสกินแคร์

เมื่อมีรอยสิวเกิดขึ้น หลายคนต่างมองหาว่า ผลิตภัณฑ์ลดเลือนรอยสิวใช้อะไรดี? ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ในการดูแลรอยสิวนั้นมีหลากหลายประเภท เช่น

  • ครีมบำรุงผิว ครีมลดเลือนรอยสิวในท้องตลาด มักมีส่วนประกอบของวิตามินซี (Vitamin C) เซราไมด์ (Ceramide) วิตามินบี 3 หรือ ไนอะซิน (Niacin) เป็นต้น โดยจะมีประโยชน์ในการช่วยปลอบประโลมผิวอักเสบ ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและช่วยให้รอยสิวจางลง ทั้งนี้ควรหมั่นทาครีมอย่างสม่ำเสมอ หลังจากขั้นตอนทำความสะอาดผิว เพื่อให้ผิวได้รับการบำรุงอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง
  • เซรั่มลดรอยสิว สกินแคร์ประเภทเซรั่มจะมีลักษณะเป็นเนื้อน้ำที่มีความบางเบากว่าเนื้อครีม ซึ่งสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ง่าย และมีสารออกฤทธิ์สำคัญ (Active Ingredients) ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวและช่วยให้รอยสิวจางลง เช่น กรดผลไม้ AHA หรือ กรดอัลฟ่าไฮดรอกซี (Alpha Hydroxy Acids) เป็นต้น
  • เจลลดรอยสิว เป็นเจลสำหรับดูแลแผลเป็นจากสิว มักมีส่วนผสมของสารสำคญ เช่น วิตามิน B3 ,สารมิวโคโพลีแซคคาไรด์ (Mucopolysaccharide), อัลฟ่าอาร์บูติน (Alpha Arbutin) ซึ่งสารเหล่านี้จะช่วยเติมความชุ่มชื้นและกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่

อย่างไรก็ตาม หากผิวแพ้ง่าย หรือ มีปัญหาผิวอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง หรือ เภสัชกรก่อนเลือกใช้ผลิตภัณฑ์

3. ดูแลรอยสิวด้วยการทำหัตถการ

การทำหัตถการลดรอยสิว เป็นอีกวิธียอดนิยมในปัจจุบัน เนื่องจากผลการรักษาที่เร็วกว่าวิธีอื่น แต่วิธีนี้จะต้องได้รับการดูแลจากแพทย์เท่านั้น และ ประเมินสภาพผิวก่อนเข้ารับการรักษา โดยสามารถทำได้หลากหลายวิธี เช่น

  • เมโสหน้าใส เป็นการฉีดตัวยาที่มีวิตามินต่างๆ เข้าสู่ผิวชั้นกลางโดยตรง เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้น และกระจ่างใสขึ้น โดยตัวยาในกลุ่มเมโสมีให้เลือกหลายประเภท เช่น คอลลาเจน วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเลือกทำหัตถการ 
  • เลเซอร์ลดรอยสิว เป็นการใช้คลื่นพลังงานยิงเข้าไปทำลายเซลล์ผิว ที่เกิดรอยดำหรือบริเวณหลุมสิว เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทน และช่วยให้รอยหลุมสิวดูตื้นขึ้น ซึ่งการใช้วิธีเลเซอร์จะใช้สำหรับปัญหารอยหลุมสิวและต้องการลดเลือนรอยแผลเป็นจากสิว หรือ รอยดำจากสิวที่มีขนาดใหญ่ฝังลึก อย่างไรก็ตามควรดูแลผิวหลังเลเซอร์อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจตามมาได้ เช่น ผิวบอบบาง ผิวแห้ง ผิวแพ้ง่ายและไวต่อแสงแดด เป็นต้น 
  • การทำ Microneedling เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ใช้ดูแลรอยหลุมสิวโดยใช้เข็มขนาดเล็กเจาะใต้หลุมสิวซ้ำๆ เพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ชั้นผิวให้สมานเข้าหากัน เหมาะสำหรับการดูแลรอยแผลเป็นจากสิว หรือหลุมสิว อย่างไรก็ตามวิธีนี้จะต้องรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และประเมินอาการก่อนทำการรักษา 
  • การเติมฟิลเลอร์ วิธีนี้จะเป็นการเติมเต็มใต้ชั้นผิวเพื่อให้หลุมสิวดูตื้นขึ้น ซึ่งฟิลเลอร์นั้น มีลักษณะเป็นเจลเนื้อละเอียด เมื่อฉีดเข้าไปใต้รอยหลุมสิว จะช่วยให้ผิวเต็มขึ้นและดูเรียบเนียนขึ้น โดยวิธีนี้อาจไม่ได้รักษารอยสิวให้หายไป แต่จะช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนและชุ่มชื้นขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องดูแลอย่างต่อเนื่อง เพราะฟิลเลอร์จะอยู่ในชั้นผิวได้นานประมาณ 6-12 เดือน และ จะสลายไปเองตามธรรมชาติ

4. เพิ่มความแข็งแรงให้กับผิว

การดูแลผิวและรอยสิว หลายคนมักมองข้ามการดูแลผิวจากภายใน จึงส่งผลให้รอยสิวหายช้ากว่าปกติ โดยเฉพาะเมื่อผิวแห้งขาดความชุ่มชื้นและอายุเพิ่มมากขึ้น การรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย นอกจากจะช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้นแล้ว ยังช่วยให้ผิวดูสุขภาพดีขึ้นอีกด้วย 

  • รับประทานผัก ผลไม้ หรือ พรีไบโอติก ซึ่งพบมากในผักใบเขียวหรือผักสีเขียวเข้ม เช่น บรอกโคลี ตำลึง คะน้า ผักโขม ปวยเล้ง ฯลฯ ซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น คลอโรฟิลล์ ใยอาหาร วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินอี และ วิตามินเค ที่มีส่วนช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้นจากภายใน 
  • ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 2-3 ลิตร เพื่อให้เซลล์ในร่างกาย และเซลล์ผิวมีความชุ่มชื้น ลดปัญหาผิวแห้งกร้าน หมองคล้ำน้อยลง และ ดูกระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
  • รับประทานสารสกัดจากเมล็ดองุ่น เนื่องจากสารสกัดจากเมล็ดองุ่น (Grape seed extract) อุดมไปด้วยสารสำคัญอย่าง โอพีซี (OPCs ; Oligomeric proanthocyanins) ในกลุ่มของไบโอฟลาโวนอยด์ (Bioflavonoid) ซึ่งมีบทบาทในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่แรงกว่าวิตามินซีถึง 20 เท่า และ แรงกว่าวิตามินอีถึง 50 เท่า จึงมีส่วนช่วยให้ผิวแข็งแรง กระจ่างใส ช่วยลดรอยสิว รอยดำ หรือ รอยแดง ให้ดูจางลง และยังมีบทบาทในการยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวเมลานินที่มากผิดปกติได้อีกด้วย

นอกจากนี้ยังสามารถรับประทานวิตามินบำรุงผิวในชีวิตประจำวัน เพื่อให้ผิวแข็งแรงขึ้นและรอยสิวดูลดเลือนลงได้

อ่านต่อ : มัดรวม 5 วิตามินผิว สารอาหารบำรุงผิวใสจากธรรมชาติ

วิตามินบำรุงผิว ลดรอยสิว

ลดรอยสิว ป้องกันการเกิดรอยสิวซ้ำๆ ต้องทำอย่างไร?

เนื่องจากการเกิดสิวนั้น มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น สภาพผิว มลภาวะ เครื่องสำอาง แสงแดด ตลอดจนฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งการป้องกันการเกิดสิวนั้น นอกจากจะป้องกันจากสาเหตุเหล่านี้แล้ว ยังควรระมัดระวังพฤติกรรมที่อาจทำให้เกิดรอยสิว 

  • ไม่บีบหรือกดสิว เพราะอาจทำให้แบคทีเรียแพร่กระจายไปยังผิวบริเวณอื่น เกิดการอักเสบมากยิ่งขึ้น และยังทิ้งรอยแผลเป็นไว้นานอีกด้วย
  • งดสครับหน้าอย่างรุนแรง ถึงแม้ว่าการผลัดเซลล์ผิว จะช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสเรียบเนียนขึ้น แต่การสครับหน้าในช่วงที่เป็นสิวหรือมีรอยแดง รอยดำ รอยหลุมสิวต่างๆ หากสครับหน้าแรงๆ หรือ ขัดหน้าบ่อยๆ จะทำให้ผิวบางลง เกิดการระคายเคืองและอาจทำให้ผิวแพ้ง่ายมากยิ่งขึ้น
  • ทาครีมกันแดดอยู่เสมอ เพราะแสงแดดที่กระทบกับผิวโดยตรง อาจจะทำให้รอยสิวเข้มขึ้น เกิดเป็นจุดด่างดำ และยังชะลอการฟื้นฟูของผิวหนัง หากจำเป็นต้องออกกลางแจ้ง ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 PA +++ ขึ้นไป และสวมหมวกหรือกางร่ม เพื่อปกป้องผิวจากแสงแดดร่วมด้วย

การดูแลรักษารอยสิวให้หายได้เร็วขึ้นนั้น นอกจากจะต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีคุณภาพดี และมีสารสำคัญที่ช่วยในการลดเลือนรอยสิวแล้ว ยังจำเป็นต้องเสริมความแข็งแรงให้กับผิวหนัง ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็น ผัก ผลไม้ วิตามินและแร่ธาตุ อย่างสารสกัดเมล็ดองุ่นที่ดีต่อผิว รวมถึงปกป้องผิวจากแสงแดดและดูแลความสะอาดของผิวเป็นประจำ โดยวิธีเหล่านี้สามารถทำควบคู่ไปกับการทำหัตถการ รวมถึงการรักษารอยสิวด้วยวิธีอื่นๆ ได้ ซึ่งจะช่วยฟื้นบำรุงให้ผิวดูกระจ่างใส อีกทั้งยังป้องกันการเกิดรอยสิวซ้ำได้อีกด้วย 

อ้างอิง
อัลบั้มภาพ

ข่าวสุขภาพอื่นๆ

ผิวแห้งและริ้วรอย

เรื่องริ้วรอย...ไม่ว่าใครก็คอยไม่ได้

ผิวแห้งและริ้วรอย

ความเชื่อผิดๆ ของการกินคอลลาเจนสำหรับผิว