รอยสิว เป็นอีกหนึ่งปัญหาผิวที่ทำลายความมั่นใจของใครหลายคน โดยเฉพาะรอยสิวที่หน้าและยังต้องใช้เวลาในการดูแลรักษาอยู่พอสมควร ไม่ว่าจะเป็น รอยแดง รอยดำ รอยแผลเป็น หรือ รอยหลุมสิวที่จำเป็นต้องดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วรอยสิวตื้นสามารถจางลงไปได้เอง แต่อาจต้องใช้เวลานาน หรือ อาจเกิดรอยสิวซ้ำหลายจุดได้ การบำรุงผิวให้แข็งแรงร่วมกับการรักษารอยสิวจึงมีความสำคัญในการ “ลดรอยสิว” และช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น โดยสามารถทำได้หลากหลายวิธีตามลักษณะของรอยสิว
รอยสิว เป็นร่องรอยแผลของสิวที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น รอยดำ รอยแดง หรือ รอยหลุมสิว ซึ่งเกิดจากกลไกในการเกิดสิวและมีการอักเสบที่ชั้นใต้ผิวหนัง โดยร่างกายจะมีการหลั่งสารอักเสบ และ ทำให้มีการผลิตเม็ดสีเมลานินเป็นจำนวนมากในจุดที่เกิดการอักเสบ หรือ ที่เรียกว่า “Post-Inflammatory Hyperpigmentation” จึงทำให้เห็นเป็นรอยสิว และ สีผิวไม่สม่ำเสมอ นอกจากนี้ การบีบแกะสิวแรงๆ อาจทำให้ผิวบริเวณนั้นเกิดรอยแผลเป็น และ อาจทำให้รักษาสิวได้ยากขึ้น
รอยสิวมักมีลักษณะ ความเข้ม และ สีของรอยสิวที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะรอยสิวที่หน้าจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการอักเสบ ยิ่งสิวอักเสบมาก จะยิ่งก่อให้เกิดรอยสิวที่เข้มขึ้นและหายช้า หรือ หากเป็นสิวอักเสบขนาดใหญ่ อย่างสิวหัวหนอง สิวหัวช้าง หรือสิวที่ติดเชื้อแบคทีเรีย จนลุกลามไปทั่วชั้นใต้ผิวหนัง อาจทำให้เกิดรอยดำ รอยหลุมสิว ที่หาวิธีรักษาหรือ ลดรอยสิว ได้ยาก โดยรอยสิวที่พบได้บ่อย แบ่งออกได้หลักๆ อยู่ 3 ลักษณะ
1. รอยดำจากสิว
รอยสิวที่เห็นเป็นจุดสีเข้ม หรือ สีดำ ซึ่งเกิดจากเนื้อเยื่อถูกทำลายในขณะที่เกิดสิว หลังจากที่สิวหายอักเสบแล้ว ผิวบริเวณนั้น ยังมีการสร้างเนื้อเยื่อที่ไม่สมบูรณ์ และ มีการรวมตัวกันของเม็ดสีเมลานิน อีกทั้งเมื่อผิวสัมผัสกับแสงแดด จึงทำให้เกิดเป็นรอยดำที่ชัดเจนขึ้นนั่นเอง
2. รอยแดงจากสิว
รอยแดง เป็นรอยสิวที่มีลักษณะเป็นจุดแดงบนใบหน้า เกิดจากการอุดตันในรูขุมขน เนื่องจากต่อมไขมันมีการผลิตน้ำมันมากเกินไปจนเกิดการอุดตัน และ อาจทำให้เกิดเป็นสิวอักเสบขึ้น เมื่อร่างกายลำเลียงเลือดไปยังเนื้อเยื่อบริเวณนั้น เพื่อฟื้นฟูตัวเอง จึงทำให้บริเวณหลอดเลือดใต้ผิวหนังบริเวณนั้น เกิดการขยายตัวและส่งผลให้ผิวหนังเกิดรอยแดงขึ้น ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธี อาจทำให้เกิดรอยแดงถาวรได้เลยทีเดียว
3. รอยหลุมสิว
รอยหลุมสิว เป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวอุดตันที่มีหัวสิวอักเสบ ไม่ว่าจะเป็น สิวหัวหนอง หรือ สิวหัวช้าง ซึ่งเกิดความเสียหายลึกไปถึงผิวชั้นใน ทำให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อได้ไม่เพียงพอ ทำให้เกิดเป็นรอยหลุมสิวและรอยแผลเป็น โดยรอยหลุมสิวแบ่งได้เป็น 4 แบบ คือ
โดยปกติแล้วรอยสิวสามารถหายได้เองภายใน 2-4 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแลผิว แต่จะมีรอยสิวบางชนิด ที่จำเป็นต้องรักษาเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะรอยหลุมสิวที่อาจใช้เวลานานถึง 1-2 ปี โดยสาเหตุที่ทำให้รอยสิวหายช้า อาจเกิดจากชนิดของสิว ได้แก่ สิวอักเสบ สิวหัวช้าง สิวอุดตัน ที่มักทิ้งร่องรอยไว้ใบผิว หลังจากเกิดสิว และ คอลลาเจนในชั้นผิวมีน้อย จึงทำให้ผิวฟื้นฟูได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้ผิวสมานแผลได้ช้าลง และก่อให้เกิดเป็นรอยสิวบนหน้าได้ ทั้งรอยดำ รอยแดง และรอยหลุมสิว รวมถึงพฤติกรรมการแกะเกา การกดหรือบีบสิว จะทำให้เซลล์เนื้อเยื่อถูกทำลาย และเส้นเลือดฝอยบนผิวหนังแตกออก ทำให้เกิดการอักเสบ หากผิวสัมผัสกับแสงแดดอาจเกิดเป็นรอยดำได้ง่าย
การดูแลผิวหลังเกิดสิวถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก เพราะหากดูแลผิวที่เป็นสิวได้ไม่ดีเท่าที่ควร อาจก่อให้เกิดปัญหารอยสิว รอยแดง รอยดำ หรือ รอยหลุมสิวตามมาได้ การรักษารอยสิวให้จางลงนั้น จำเป็นต้องทำควบคู่กันไป ทั้งการดูแลผิวจากภายนอกและภายใน ดังนี้
การทำความสะอาดผิวเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ และ เป็นขั้นตอนแรกที่ขาดไม่ได้ ก่อนการบำรุงผิวด้วยวิธีใดก็ตาม เนื่องจากบนผิวหนังของเรามี สกินไมโครไบโอม (Skin Microbiome) ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก เช่น แบคทีเรีย เชื้อรา ทั้งชนิดดีและไม่ดีที่ก่อให้เกิดสิว จึงควรรักษาความสะอาดของผิว ด้วยการล้างทำความสะอาดผิวอย่างน้อยวันละ 1-2 ครั้ง เพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่อุดตันอยู่ในรูขุมขน หรือ ใช้วิธี Double Cleansing ที่จะช่วยให้ผิวสะอาดล้ำลึกมากยิ่งขึ้น
เมื่อมีรอยสิวเกิดขึ้น หลายคนต่างมองหาว่า ผลิตภัณฑ์ลดเลือนรอยสิวใช้อะไรดี? ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ในการดูแลรอยสิวนั้นมีหลากหลายประเภท เช่น
อย่างไรก็ตาม หากผิวแพ้ง่าย หรือ มีปัญหาผิวอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง หรือ เภสัชกรก่อนเลือกใช้ผลิตภัณฑ์
การทำหัตถการลดรอยสิว เป็นอีกวิธียอดนิยมในปัจจุบัน เนื่องจากผลการรักษาที่เร็วกว่าวิธีอื่น แต่วิธีนี้จะต้องได้รับการดูแลจากแพทย์เท่านั้น และ ประเมินสภาพผิวก่อนเข้ารับการรักษา โดยสามารถทำได้หลากหลายวิธี เช่น
การดูแลผิวและรอยสิว หลายคนมักมองข้ามการดูแลผิวจากภายใน จึงส่งผลให้รอยสิวหายช้ากว่าปกติ โดยเฉพาะเมื่อผิวแห้งขาดความชุ่มชื้นและอายุเพิ่มมากขึ้น การรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย นอกจากจะช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้นแล้ว ยังช่วยให้ผิวดูสุขภาพดีขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้ยังสามารถรับประทานวิตามินบำรุงผิวในชีวิตประจำวัน เพื่อให้ผิวแข็งแรงขึ้นและรอยสิวดูลดเลือนลงได้
อ่านต่อ : มัดรวม 5 วิตามินผิว สารอาหารบำรุงผิวใสจากธรรมชาติ
เนื่องจากการเกิดสิวนั้น มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น สภาพผิว มลภาวะ เครื่องสำอาง แสงแดด ตลอดจนฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งการป้องกันการเกิดสิวนั้น นอกจากจะป้องกันจากสาเหตุเหล่านี้แล้ว ยังควรระมัดระวังพฤติกรรมที่อาจทำให้เกิดรอยสิว
การดูแลรักษารอยสิวให้หายได้เร็วขึ้นนั้น นอกจากจะต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีคุณภาพดี และมีสารสำคัญที่ช่วยในการลดเลือนรอยสิวแล้ว ยังจำเป็นต้องเสริมความแข็งแรงให้กับผิวหนัง ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็น ผัก ผลไม้ วิตามินและแร่ธาตุ อย่างสารสกัดเมล็ดองุ่นที่ดีต่อผิว รวมถึงปกป้องผิวจากแสงแดดและดูแลความสะอาดของผิวเป็นประจำ โดยวิธีเหล่านี้สามารถทำควบคู่ไปกับการทำหัตถการ รวมถึงการรักษารอยสิวด้วยวิธีอื่นๆ ได้ ซึ่งจะช่วยฟื้นบำรุงให้ผิวดูกระจ่างใส อีกทั้งยังป้องกันการเกิดรอยสิวซ้ำได้อีกด้วย