เป็นที่ทราบกันดีว่าการรับประทาน วิตามินซี (Vitamin C) เป็นประจำทุกวันมี ประโยชน์ ในการช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้ โดยผลการวิจัยในปี 1970 โดย Dr. Linus Pauling นักเคมีและชีวเคมีผู้ได้รับรางวัลโนเบล ถึง 2 ครั้ง ได้ระบุในหนังสือ Vitamin C & The Common Cold (วิตามินซีกับโรคหวัด) ไว้ว่าหากร่างกายได้รับวิตามินซีวันละ 1,000 มิลลิกรัม จะสามารถป้องกันหวัด และถ้าเป็นหวัดก็จะหายเร็วกว่าคนที่ไม่ได้รับประทานถึง 60% เลยทีเดียว
จากการศึกษาเพิ่มเติมที่ทำให้ทราบว่า วิตามินซี มีประโยชน์มากกว่าการป้องกันโรคหวัด ด้วยคุณสมบัติในการทำให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคหวัดได้ดี อีกทั้งยังช่วยลดการหลั่งสารก่อภูมิแพ้ในร่างกายหรือฮิสตามีน อันเป็นสารก่อภูมิแพ้ที่จะถูกกระตุ้นให้มีปริมาณสูงขึ้นเมื่อร่างกายได้รับสารหรือสัมผัสกับสิ่งที่ทำให้เกิดอาการแพ้ นอกจากนี้หากร่างกายได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอยังสามารถบรรเทา หอบหืด ไซนัส และต่อต้านภูมิแพ้ต่างๆ ได้ดีขึ้นอีกด้วย
สำหรับการดูแลสุขภาพเพื่อให้มีผิวพรรณที่สมบูรณ์ การรับประทานผักสดและผลไม้สด ทำให้ผิวสวย เหงือกและฟันแข็งแรง เพราะวิตามินซีในผักและผลไม้ช่วยกระตุ้นระบบการไหลเวียนโลหิตของผิว เมื่อเซลล์ผิวได้รับอาหารมากก็จะทำงานดีขึ้น ผิวจะดูมีสุขภาพดีและเรียบเนียน วิตามินซียังช่วยเพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจนในเซลล์ ทำให้ผิวแน่นและยืดหยุ่น ไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร นอกจากนี้ วิตามินซียังช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น เนื่องจากไปช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและรักษาตัวเองโดยไปเสริมสร้างผนังเซลล์ ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรงและต้านการอักเสบ จึงทำให้แผลหายได้เร็วขึ้น
เนื่องจาก วิตามินซีจะถูกใช้ในร่างกายมากกว่าปกติโดยเฉพาะในคนที่สูบบุหรี่หรือคนที่อยู่ใกล้คนสูบบุหรี่ ซึ่งมีการวิจัยพบว่าเด็กที่ผู้ปกครองสูบบุหรี่จะมีปริมาณวิตามินซีในร่างกายลดลงถึง 50% ของเด็กที่ผู้ปกครองไม่สูบบุหรี่ ดังนั้นคนที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีคนสูบบุหรี่หรือสูบบุหรี่เองควรรับประทานวิตามินซีให้เพียงพอ จะช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตของคนที่สูบบุหรี่ที่มีระบบไหลเวียนโลหิตไม่ดีให้มีสภาพเหมือนคนที่มีสุขภาพดีได้อย่างรวดเร็ว โดยพบว่าการเปลี่ยนแปลงของเส้นเลือดจะเกิดขึ้นได้เร็ว เมื่อรับประทานวิตามินซี ขนาด 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน
เนื่องจากวิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่ง มีคุณสมบัติในการช่วยปกป้องเซลล์ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระทั้งที่เกิดจากปัจจัยภายในและภายนอก เช่น กระบวนการเผาผลาญพลังงาน ความเครียด แสงแดด มลภาวะ ฯลฯ ซึ่งการรับประทานวิตามินซีให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายจะช่วยให้ร่างกายมีภูมิต้านทานและป้องกันความเสียหายของเซล์ รวมถึงความผิดปกติต่างๆ ที่อาจนำไปสู่การเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด ต้อกระจก รวมถึงโรคที่มักมาพร้อมกับความแก่ชราอีกด้วย
จากการศึกษาในต่างประเทศพบว่า ผู้ที่รับประทานวิตามินซีในระยะยาวอย่างน้อย 10 ปีขึ้นไป สามารถลดโอกาสเลนส์ตาขุ่นมัวอันเป็นอาการเริ่มแรกของโรคต้อกระจกได้ถึง 77%
หากจะรับประทานควรเลือกวิตามินซีจากแหล่งธรรมชาติ เนื่องจากในธรรมชาติเรามักพบวิตามินชนิดนี้ร่วมกับสารอาหารกลุ่มไบโอฟลาโวนอยด์ แต่การรับประทานวิตามินซีจากผักและผลไม้อย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากวิตามินซีเสื่อมสลายได้ง่ายเมื่อสัมผัสกับอากาศ ความร้อน หรือความชื้น จึงควรเลือกรับประทานผัก ผลไม้ที่สดใหม่ หรือรับประทานวิตามินซีเสริมอาหารที่มีส่วนผสมของไบโอฟลาโวนอยด์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและทำให้อยู่ในร่างกายได้ดีขึ้น อ่านต่อ : วิตามินซีแบบเม็ด แบบชง หรือแบบขวดแช่ เลือกกินแบบไหนดีกว่ากัน
เนื่องจากวิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายได้ในน้ำ ร่างกายสามารถขับออกได้ตามปกติผ่านไต ซึ่งยังไม่มีรายงานเกี่ยวกับพิษที่เกิดจากการรับประทานวิตามินซีแม้จะทานในปริมาณที่สูง แต่มีผลการวิจัยพบว่าในคนปกติการรับประทานวิตามินชนิดนี้เป็นประจำทุกวันต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานและสามารถรับประทานได้สูงถึง 3,000 มิลลิกรัมต่อวัน แต่หากขาดวิตามินซีหรือได้รับวิตามินน้อยกว่าที่ร่างกายควรจะได้รับต่อวันอาจทำให้มีเลือดออกตามไรฟันได้
ปริมาณวิตามินซีที่ควรได้รับในแต่ละวันนั้นแตกต่างกันตามวิถีชีวิต และความแข็งแรงของสุขภาพร่างกาย ดังนี้
- ผู้ที่ต้องการเพิ่มการทำงานของเม็ดเลือดขาวและเสริมภูมิคุ้มกัน ควรรับประทานวันละ 1,000-3,000 มิลลิกรัม
- ผู้ที่มีอาการเป็นหวัด เป็นโรคภูมิแพ้ และร่างกายอ่อนแอ ควรรับประทานวันละ 1,000-2,000 มิลลิกรัม
- ผู้ที่อยู่ท่ามกลางมลภาวะที่เป็นพิษ มีความเครียดในร่างกาย ควรรับประทานวันละ 1,000 มิลลิกรัม
- ผู้ที่ต้องการดูแลและบำรุงสุขภาพ ควรรับประทานวันละ 1,000 มิลลิกรัม
– ผู้ที่ต้องการปกป้องผิวจากแสงแดด รับประทานวิตามินซี ขนาด 2,000 มิลลิกรัม ร่วมกับ วิตามินอี วันละ 1,000 IU
เนื่องจากวิตามินซีมีความเป็นกรด ถึงแม้วิตามินซีเสริมอาหารบางยี่ห้อจะปรับลดความเป็นกรดลงด้วยการใส่วิตามินซีในรูปแบบของเกลือ ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้รับประทานหลังอาหาร เนื่องจากอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหารได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติเป็นโรคกระเพาะ กรดไหลย้อน หรือภาวะการย่อยผิดปกติ
ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคกระเพาะ หรือกรดไหลย้อน จึงแนะนำให้รับประทานวิตามินซีในรูปแบบเกลือ 100% เช่น อยู่ในรูปแบบแคลเซียมแอสคอเบท เนื่องจากวิตามินซีรูปแบบนี้ไม่มีความเป็นกรดหลงเหลือ จึงไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร
สุดท้ายนี้ การเลือกรับประทานวิตามินซีให้ได้ประโยชน์สูงสุดนั้นต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นปริมาณที่บริโภคต่อวัน วิธีรับประทาน ประเภทของวิตามินซีและความคุ้มค่ากับราคา เนื่องจากผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดมีมากมาย หลายหลากยี่ห้อให้เลือก ดังนั้นในฐานะผู้บริโภคเราควรศึกษาวิธีการเลือกก่อนคิดตัดสินใจซื้อหรือรับประทาน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพและเพื่อสุขภาพที่ดีอย่างยืน
-